แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอยู่ในหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใดหรือโดยทุจริต ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้ อำนาจหน้าที่ในการสั่งงดจ่ายเงินเดือนของข้าราชการตำรวจเป็นอำนาจหน้าที่ของ กรมตำรวจหรือผู้ที่กรมตำรวจมอบหมายโดยตรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับ มอบหมายให้มีหน้าที่สั่งงดจ่ายเงินเดือนข้าราชการตำรวจ แม้จำเลยที่ 1 ทำบันทึกเสนอต่อ ผู้บังคับบัญชาในการที่โจทก์ขาดราชการเกินกว่า 15 วัน และเสนอความเห็นให้มีคำสั่งให้ โจทก์ออกจากราชการ และการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งไม่ให้เจ้าหน้าที่การเงินจ่ายเงินเดือนให้ โจทก์ก็เพราะเหตุที่เชื่อว่าโจทก์ละทิ้งราชการหรือหนีราชการ ประกอบกับในทางปฏิบัติ กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้จ่ายเงินงบประมาณหมวดเงินเดือนให้แก่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ขอเบิกรับเงินไป หากมีเงินส่งคืนก็จะบันทึก เหตุผลในการส่งคืนไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งงดจ่ายเงินเดือนข้าราชการตำรวจทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น จึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานรับราชการเป็นตำรวจ ตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง จำเลยทั้งสองเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ โจทก์ปฏิบัติราชการตามที่ได้รับมอบหมายเป็นปกติ แต่จำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่เบิกจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ กลับปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบ ไม่เบิกจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ไม่เบิกจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ในเดือนพฤศจิกายน2536 และเดือนธันวาคม 2536 จำเลยที่ 2 ไม่เบิกจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ระหว่างเดือนมกราคม 2537 ถึงเดือนพฤษภาคม 2537 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอยู่ในหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของโจทก์ได้ความว่า อำนาจหน้าที่ในการสั่งงดจ่ายเงินเดือนของข้าราชการตำรวจเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมตำรวจหรือผู้ที่กรมตำรวจมอบหมายโดยตรงและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่สั่งงดจ่ายเงินเดือนข้าราชการตำรวจ แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำบันทึกเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในการที่โจทก์ขาดราชการเกินกว่า 15 วัน และเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาให้มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการ และการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งไม่ให้เจ้าหน้าที่การเงินจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ เพราะเหตุที่เชื่อว่าโจทก์ละทิ้งราชการหรือหนีราชการ จึงได้บันทึกไว้ว่าหนีราชการตามบันทึกของสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองที่ 0514.272/15230 ลงวันที่4 ตุลาคม 2536 เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเดือนอื่น ๆ ก็บันทึกเหตุผลเช่นเดียวกันประกอบกับในทางปฏิบัติกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้จ่ายเงินงบประมาณหมวดรายจ่ายเงินเดือนให้แก่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง โดยจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ขอเบิกรับเงินไป หากมีเงินส่งคืนก็จะบันทึกเหตุผลในการส่งคืนไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งงดจ่ายเงินเดือนข้าราชการตำรวจทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น จึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน