แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามคำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่าคำเบิกความของพยานบุคคลซึ่งศาลอาศัยเป็นหลักในการพิพากษาลงโทษผู้ร้องเป็นคำเบิกความเท็จ ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง โดยไม่ปรากฏว่าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานดังกล่าวเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง ทั้งผู้ร้องเพิ่งจะยื่นฟ้อง ม. เป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จ แจ้งความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จภายหลังจากที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องนี้แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 56(1)
ตามคำร้องของผู้ร้องปรากฏว่าพยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้างปากหนึ่งเคยเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้ว ส่วนพยานปากอื่นล้วนเป็นบุคคลที่ผู้ร้องรู้จักคุ้นเคยเพราะเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ร้องบ้าง เป็นญาติพี่น้องกับผู้ร้องบ้างและเป็นเพื่อนบ้านของผู้ร้องซึ่งอยู่กับผู้ร้องในขณะเกิดเหตุบ้าง และพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างก็เป็นเพียงบันทึกความเห็นและข้อที่พยานดังกล่าวจะมาเบิกความ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนและผู้ร้องทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีที่ผู้ร้องจะอ้างมาเป็นเหตุให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 5(3) ได้ คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องได้โดยไม่ต้องไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่ง เพราะอำนาจในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนย่อมเป็นการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 10 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องทั้งสี่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด ยึดทรัพย์นั้นไปและให้พ้นการจับกุมลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี ให้ผู้ร้องทั้งสี่คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 384,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่อ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดและพิสูจน์ได้ว่าคำเบิกความของนายธานินทร์ ไชยคำ นายมลเทียน ราชาภักดี นายทวีคูณ เทวะประกาย และนายเศรษฐชัย ลวสุต ซึ่งศาลอาศัยเป็นหลักในการพิพากษาลงโทษผู้ร้องทั้งสี่เป็นคำเบิกความเท็จ ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง เพราะนายเศรษฐชัยผู้ได้รับมอบอำนาจจากบริษัทผู้เสียหายให้ไปร้องทุกข์ซึ่งได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ในบัญชีของกลางและเบิกความว่าวันเกิดเหตุมีการปล้นทรัพย์สีพ่นตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทผู้เสียหายไป 150 ถัง นั้น ได้ทำบันทึกกลับคำให้การดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง ถูกปรุงแต่งขึ้นและนายเศรษฐชัยทำไปเพราะถูกบังคับ ความจริงมิได้มีการปล้นทรัพย์ดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด คำเบิกความของนายธานินทร์ นายมลเทียนและนายทวีคูณที่อ้างว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นคนร้ายขัดแย้งกันเอง ขัดต่อเหตุผลและขัดต่อบันทึกรายงานเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุที่นายมลเทียนทำไว้ พยานฐานที่อยู่ของผู้ร้องทั้งสี่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยผู้ร้องทั้งสี่สามารถนำนายเศรษฐชัยและผู้รู้เห็นเกี่ยวข้องทั้งที่เป็นพนักงานของบริษัทผู้เสียหายอยู่ในขณะเกิดเหตุซึ่งไม่กล้าเบิกความเป็นพยานเพราะกลัวถูกไล่ออกแต่ปัจจุบันบริษัทผู้เสียหายได้เลิกกิจการไปแล้ว หมดเหตุที่จะต้องเกรงกลัวรวมทั้งบุคคลภายนอกซึ่งได้ทำหนังสือรับรองว่ามิได้มีการปล้นทรัพย์ของบริษัทผู้เสียหายเกิดขึ้นและขณะเกิดเหตุผู้ร้องทั้งสี่มีฐานที่อยู่ดังปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องอันเป็นพยานหลักฐานใหม่มาสืบพิสูจน์ความจริงได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ไม่ปรากฏเหตุตามมาตรา 5 (1) (2) (3) แห่งพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 จึงไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่อ้างแต่เพียงว่าคำเบิกความของนายธานินทร์ ไชยคำ นายมลเทียน ราชาภักดี นายทวีคูณ เทวประกาย และนายเศรษฐชัย ลวสุต พยานบุคคลซึ่งศาลอาศัยเป็นหลักในการพิพากษาลงโทษผู้ร้องทั้งสี่เป็นคำเบิกความเท็จ ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง โดยไม่ปรากฏว่าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานดังกล่าวเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริงแต่อย่างใด ทั้งปรากฏในคำฟ้องฎีกาของผู้ร้องทั้งสี่เองว่าผู้ร้องทั้งสี่เพิ่งจะยื่นฟ้องนายมลเทียนเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จ แจ้งความเท็จนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จภายหลังจากที่ผู้ร้องทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องนี้แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 5 (1) ส่วนที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด ก็ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ว่า พยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้างปากหนึ่งเคยเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้ว ส่วนพยานปากอื่นล้วนเป็นบุคคลที่ผู้ร้องทั้งสี่รู้จักคุ้นเคยเพราะเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ร้องทั้งสี่บ้างและเป็นเพื่อนบ้านของผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งอยู่กับผู้ร้องทั้งสี่ในขณะเกิดเหตุบ้าง และพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างเป็นเพียงบันทึกความเห็นและข้อที่พยานดังกล่าวจะมาเบิกความ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างตามคำร้องจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนและผู้ร้องทั้งสี่ทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีที่ผู้ร้องทั้งสี่จะอ้างมาเป็นเหตุขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 5 (3) ได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีมูล ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องไต่สวน ฎีกาของผู้ร้องทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น แม้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่โดยไม่ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่ง เพราะอำนาจในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 10 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งใหม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 กับคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่