คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6554/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยแถลงยืนยันต่อศาลชั้นต้นว่า ยังติดใจสืบพยานปาก ศ. อีกเพียงปากเดียว ก็เป็นอันหมดพยานจำเลย และขอส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ที่ศาลจังหวัดเลย โดยมิให้เลื่อนคดีไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้นหากคู่ความขอเลื่อนคดีให้รีบส่งประเด็นคืนศาลเดิม ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปาก ศ. ดังกล่าว และคดีมีการส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ศาลอื่นซึ่งทำให้คดีล่าช้ามากอยู่แล้ว การที่ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยยืนยันยอดหนี้ที่ค้างชำระกับโจทก์ตามเอกสารที่ส่งมาให้จำเลยนั้น ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้เลย เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม คดีจึงไม่มีประเด็นว่ายอดหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องถูกต้องหรือไม่ พยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า และไม่เป็นประเด็นที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมและไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบต่อไปจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน20,969,134.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน18,662,323 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระ หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน จำเลยยื่นคำให้การระหว่างพิจารณาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอว่า พิเคราะห์แล้วไม่มีเหตุอันสมควร ประกอบโจทก์คัดค้านจึงไม่อนุญาตยกคำร้องและมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2540 ทนายจำเลยได้แถลงว่ายังติดใจสืบพยานจำเลยอีกเพียงหนึ่งปากที่ส่งประเด็นไปสืบที่ศาลจังหวัดเลยเท่านั้นอีกทั้งจำเลยขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม แต่ศาลไม่อนุญาตจึงให้งดสืบพยานจำเลย คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,969,134.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,662,923.23 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1980 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 278 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1143 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1430, 1431,1434 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์25,000 บาท แทนโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และให้งดสืบพยานจำเลยนั้นชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องมูลหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องก็ตาม ศาลก็ต้องวินิจฉัยและพิพากษาในประเด็นนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลจึงชอบที่จะอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และนำพยานเข้าสืบเพื่อยืนยันว่ามูลหนี้ตามฟ้องและยอดหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้องตรงตามความจริงและสำหรับพยานจำเลยปากพันตำรวจโทศักดิ์รพีไพเมือง นั้น หากนำเข้าสืบแล้ว จะได้ความชัดเจนว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น แม้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ก็ตาม แต่สัญญานี้ยังไม่มีการกรอกข้อความใด ๆ เลย จึงเป็นพยานสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่จำเลยต้องนำสืบ ศาลจึงควรอนุญาตให้จำเลยยื่นระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และนำพันตำรวจโทศักดิ์รพี ไพเมือง เข้าสืบต่อไป เห็นว่าในรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 14 กรกฎาคม 2540 จำเลยแถลงว่า”แต่ยังติดใจสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพีอีกเพียงปากเดียวเท่านั้นและขอส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ที่ศาลจังหวัดเลย โดยมิได้ให้เลื่อนคดีไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น หากคู่ความขอเลื่อนคดีให้รีบส่งประเด็นคืนศาลเดิม”ซึ่งแสดงว่าจำเลยยังติดใจสืบพยานจำเลยเพียงปากเดียวคือ พันตำรวจโทศักดิ์รพี ไพเมือง เท่านั้น ก็เป็นอันหมดพยานจำเลย ศาลจึงอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพี ไพเมือง ซึ่งถ้าจำเลยไม่แถลงยืนยันเช่นนั้นแล้ว ศาลคงไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพี ไพเมือง เพราะคดีมีการส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ศาลอื่นซึ่งทำให้คดีล่าช้ามากอยู่แล้ว ดังนั้น ต่อมาวันที่ 26พฤศจิกายน 2540 ที่จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1โดยอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยยืนยันยอดหนี้ที่ค้างชำระกับโจทก์ตามเอกสารที่ส่งมาให้จำเลยนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้เลย เพราะเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมแล้วก็ไม่มีประเด็นที่ว่ายอดหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องถูกต้องหรือไม่ ข้ออ้างตามคำร้องดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ชักช้าเท่านั้น และไม่เป็นประเด็นที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบต่อไป จึงชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share