คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6551/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ตกลงว่าจ้างให้จำเลยดำเนินการส่งทุเรียนสดจากประเทศไทยไปยังเมืองเกาซุงประเทศไต้หวัน โดยทางเรือ จำเลยได้ติดต่อจองระวางเรือ ทำพิธีการศุลกากรและตกลงให้ผู้มีชื่อเป็นผู้ขนส่งทุเรียนไปให้ผู้ซื้อ ที่ประเทศไต้หวัน โดยจำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาทเริ่มตั้งแต่จัดหารถลากตู้คอนเทนเนอร์ไปรับทุเรียนพิพาท ที่จังหวัดจันทบุรี และนำไปส่งที่ท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยได้ออกใบตราส่งและรับเงินค่าบริการ ตามใบตราส่ง มีข้อความระบุว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งได้รับสินค้าไว้ถูกต้องแล้วและจำเลยได้เรียกเก็บเงินค่าระวางขนส่ง ค่าเช่า ตู้คอนเทนเนอร์และค่าธรรมเนียมอื่นจากโจทก์ไปแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท และตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ใบตราส่ง หมายความว่า เอกสารที่ผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งของเป็นหลักฐาน แห่งสัญญารับขนของทางทะเล เมื่อจำเลยเป็นผู้ออกใบตราส่ง จำเลยจึงปฏิเสธว่าจำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่งไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ขนส่งทุเรียนสดพันธุ์หมอนทองจำนวน ๒,๐๐๐ กล่อง น้ำหนัก ๒๒,๐๐๐ กิโลกรัม ไปยังประเทศไต้หวันเพื่อส่งให้แก่บริษัทโฮ กุ ยุน จำกัด จำเลยที่ ๑ ตกลงรับขนสินค้าดังกล่าวโดยนำรถลาก ตู้คอนเทนเนอร์ไปบรรจุทุเรียนสดที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งโจทก์สั่งให้ตั้งอุณหภูมิตู้คอนเทนเนอร์ไว้ที่ +๑๔ องศาเซลเซียส ต่อมาจำเลยที่ ๑ ลากตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวมาลงเรือเดินสมุทรชื่อ “ยูนิ มอรัล” ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่ท่าเรือ แหลมฉบัง จำเลยที่ ๑ ได้ออกใบตราส่งให้แก่โจทก์เป็นหลักฐาน ใบตราส่งดังกล่าวไม่มีการจดแจ้งรายการอันเป็น ข้อสงวนไว้ ส่วนจำเลยที่ ๒ เมื่อได้รับสินค้าของโจทก์จากจำเลยที่ ๑ ลงเรือเรียบร้อยแล้วได้ออกใบตราส่งแทนจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าของเรือให้จำเลยที่ ๑ ไว้เป็นหลักฐาน เมื่อเรือ “ยูนิ มอรัล” เดินทางถึงท่าเรือเมืองเกาซุง ประเทศไต้หวันวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ บริษัทโฮ กุ ยุน จำกัด ผู้รับตราส่งได้รับรายงานว่า สินค้าเสียหายทั้งหมด เนื่องจากจำเลยทั้งสามหรือตัวแทนไม่ได้ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสภาพสินค้าตามที่โจทก์สั่ง จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ คือราคาทุเรียนจำนวน ๒๐,๐๐๐ กิโลกรัม กิโลกรัมละ ๒๕ บาท เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ค่าระวางและค่าบริการ ๑๙๗,๐๓๗ บาท ค่ารถลากตู้คอนเทนเนอร์ ๒๕,๘๘๐ บาท ค่าภาษีที่ประเทศไต้หวัน ๓๘๘,๗๘๕ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๑๑๑,๗๐๒ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสามมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าของโจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๕,๒๔๔ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๑๑๑,๗๐๒ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงตัวแทนโจทก์ในการทำพิธีการทางศุลกากร และติดต่อจองระวางเรือจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับจ้างโจทก์ขนส่งสินค้าพิพาท จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ทุเรียนพิพาทมีราคาไม่เกินกิโลกรัมละ ๑๐ บาท ส่วนค่าระวางและค่าบริการตลอดจนค่าลากตู้คอนเทนเนอร์และค่าภาษีที่ประเทศไต้หวันนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง เพราะความเสียหาย ของโจทก์มีประการเดียวคือ ไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากผู้สั่งซื้อเท่านั้น
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายจำนวน ๑,๐๑๑,๗๐๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการส่งทุเรียนสดพันธุ์หมอนทอง จำนวน ๒,๐๐๐ กล่อง น้ำหนัก ๒๒,๐๐๐ กิโลกรัม จากประเทศไทยไปยังเมืองเกาซุงประเทศไต้หวันโดยทางเรือ จำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อจองระวางเรือทำพิธีการศุลกากรและตกลงให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ขนส่งทุเรียนพิพาทดังกล่าวไปให้ผู้ซื้อที่ประเทศไต้หวัน เมื่อเรือ “ยูนิ มอรัล” บรรทุกทุเรียนพิพาทไปถึงท่าเรือเมืองเกาซุง ประเทศไต้หวันปรากฏว่าทุเรียนพิพาทเสียหายทั้งหมด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ประการแรกว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาทรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนางสุจิตรา วิชิตเนติศาสตร์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความเป็นพยานว่าโจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ ๑ เป็น ผู้ขนส่งสินค้าพิพาทเริ่มตั้งแต่จัดหารถลากตู้คอนเทนเนอร์ไปรับทุเรียนพิพาทที่จังหวัดจันทบุรี และนำไปส่งที่ท่าเรือแหลมฉบัง จำเลยที่ ๑ ได้ออกใบตราส่ง และรับเงินค่าบริการไปแล้วตามเอกสารหมาย จ. ๑๑ จ. ๑๔ และ จ. ๑๕ เห็นว่า สำเนาใบตราส่งเอกสารหมาย จ. ๑๑ มีข้อความระบุว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งได้รับสินค้าไว้ถูกต้องแล้ว ส่วนใบแจ้งการหักบัญชี เอกสารหมาย จ. ๑๔ และใบกำกับสินค้า เอกสารหมาย จ. ๑๕ ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้เรียกเก็บเงินค่าระวางขนส่งค่าเช่าตู้คอนเทนเนอร์และค่าธรรมเนียมอื่นจากโจทก์ไปแล้วจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท ที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า การออกใบตราส่งไม่ใช่การรับขนส่งสินค้าเองหากแต่เป็นเพียงตัวแทน ในการติดต่อรับขนส่งเท่านั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ใช่ผู้ขนส่งนั้น เห็นว่า มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของ ทางทะเล พ.ศ. ๒๕๓๔ ให้นิยามคำว่า ใบตราส่ง หมายความว่า เอกสารที่ผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งของเป็นหลักฐานแห่งสัญญารับขนของทางทะเล… เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ออกใบตราส่งจำเลยที่ ๑ จึงปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ขนส่งไม่ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สินค้าพิพาทเสียหายเพราะโจทก์เป็นผู้กำหนดให้ตั้งอุณหภูมิภายในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ระดับ +๔ องศาเซลเซียสหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้กำหนดให้ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ระดับ +๔ องศาเซลเซียส ดังที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ในทางตรงกันข้ามกลับได้ความจากนายเหรียญ วรพิพัฒน์กำธร ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กำหนดให้ตั้งอุณหภูมิภายในตู้คอนเทนเนอร์ที่ระดับ +๔ องศาเซลเซียส ตามเอกสารหมาย ล. ๒ ดังนั้น เหตุที่ทำให้สินค้าพิพาทเสียหายจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ หากแต่เป็นความผิดของจำเลยที่ ๑
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดราคาทุเรียนพิพาทให้กิโลกรัมละ ๒๐ บาท สูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า ตามภาพถ่ายใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย จ. ๑๒ ระบุว่าทุเรียนพิพาทมีราคากิโลกรัมละ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ไม่นำสืบว่าความจริงทุเรียนพิพาทคงมีราคาเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดราคาทุเรียนพิพาทให้กิโลกรัมละ ๒๐ บาท จึงเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน.

Share