แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จองบัตรที่นั่งดูภาพยนต์แล้วแต่ไม่สามารถมานั่งตามที่ๆจองไว้เพราะจำเลยกลับขายบัตรสำหรับที่นั่งนั้นให้แก่ผู้อื่นไปอีกย่อมถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจะยกเอาเหตุที่มีคนดูภาพยนต์มากเป็นพิเศษมาเป็นเหตุสุดวิสัยเพื่อแก้ตัวไม่ได้
จำเลยผิดสัญญาโจทก์จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแก่การนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา215
ในเรื่องค่าเสียหายโจทก์จะเรียกเอาจากจำเลยได้เพียงไรนอกจากค่าเสียหายที่ได้จ่ายเป็นตัวเงินจริงๆ แล้วสำหรับความขวยเขินที่ไม่ได้นั่งดูภาพยนต์ในที่ๆ จองไว้ความรู้สึกผิดหวัง เสียใจโจทก์จะถือเหตุเหล่านี้มาฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้เพราะความรู้สึกในทางจิตใจนั้นไม่ใช่ความเสียหายที่จะพึงเรียกร้องกันได้ในกรณีเช่นนี้จะว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามวรรคสองแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 ก็ไม่ได้
การกำหนดค่าเสียหายในกรณีผิดสัญญาตามธรรมดาศาลย่อมกำหนดเพื่อชดเชยการที่โจทก์ต้องเสียไป มิใช่กำหนดเพื่อเป็นการลงโทษจำเลยดังนั้นหากโจทก์จะมีความเสียหายอย่างไรอีกความเสียหายนั้นจะพึงคำนวณเป็นราคาเงินเท่าใดก็ต้องคำนวณมาด้วยมิฉะนั้นโจทก์จะได้รับแต่เพียงค่าเสียหายเท่าที่คำนวณเป็นเงินไว้เท่านั้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย 5,000 บาท ฐานผิดสัญญาเพราะไม่ได้ดูภาพยนต์ในที่นั่งซึ่งโจทก์ซื้อบัตรจองล่วงหน้าไว้ที่โรงภาพยนตร์ของจำเลย 5 ที่นั่งราคาที่นั่งละ 12 บาท รวมเป็นเงิน 60 บาท โดยจำเลยเอาที่นั่งของโจทก์ที่ซื้อไว้ขายให้ผู้อื่นเสียการกระทำของจำเลยนอกจากเป็นการผิดสัญญาแล้วยังปฏิบัติไม่สมกับหน้าที่ของจำเลยที่พึงกระทำต่อบริการของประชาชน ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องโจทก์ประสงค์จะอุทิศให้แก่สาธารณะกุศาลสถานเช่นโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นต้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่าวันนั้นเป็นวันหยุดราชการมีคนดูภาพยนตร์มากเป็นพิเศษจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่คนขายบัตรของจำเลยจะตรวจว่าได้ขายบัตรล่วงหน้าให้แก่โจทก์ไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ดีจำเลยได้จัดที่นั่งอื่นให้โจทก์ดูในชั้นและอันดับเดียวกันโจทก์ไม่ยอมจำเลยเสนอให้ดูรอบต่อไปหรือขอใช้เงินคืนให้โจทก์ก็ไม่ยอมกลับนำเรื่องฟ้องร้องกล่าวโทษจำเลยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ พฤติการณ์ของโจทก์เรื่องสมัครรับความเสียหายหรือไม่บันเทาความเสียหายของตนโจทก์ไม่เสียหายมากมายดังฟ้อง สัญญาค่าดูภาพยนตร์ตีราคาค่าสำราญที่โจทก์จะได้รับ 5 คนเป็นเงิน 60 บาทเท่านั้น จำเลยจึงวางเงิน 60 บาทต่อศาลเพื่อชำระให้โจทก์
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 500 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยรับจองบัตรที่นั่งไว้ให้โจทก์แล้วกลับขายบัตรสำหรับที่นั่งนั้นให้แก่ผู้อื่นไปอีกซึ่งทำให้โจทก์ไม่สามารถนั่งตามที่ ๆ จองไว้ก็ย่อมถือได้แล้วว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจะยกเอาเหตุที่มีคนดูภาพยนตร์มากเป็นพิเศษมาเป็นเหตุสุดวิสัยเพื่อแก้ตัวหาได้ไม่ เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้วโจทก์ก็ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแก่การนั้นได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 215 ปัญหาที่จะต้องพิจารณาในเรื่องนี้ก็คือโจทก์จะเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียงไร คดีนี้เท่าที่โจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เสียหายเป็นเงินทองนอกเหนือไปจากเงิน 60 บาทนั้นแต่อย่างไร แต่ที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000 บาทเป็นค่าชดใช้ความขวยเขินเนื่องจากการที่ไม่ได้เข้านั่งดูภาพยนตร์ในที่นั่งซึ่งจองไว้ และค่าความผิดหวังเสียใจเพราะนาน ๆ จะได้ดูภาพยนตร์สักครั้งหนึ่งในเรื่องความผิดหวังและเสียใจรวมตลอดทั้งได้รับความขวยเขินในการที่ไม่ได้ดูภาพยนตร์ในวันนั้น โจทก์จะถือเหตุเหล่านี้มาฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้เพราะความรู้สึกในทางจิตใจเช่นนั้นไม่ใช่ความเสียหายที่จะพึงเรียกร้องกันได้ ในกรณีเช่นนี้จะว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามวรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 ก็ไม่ได้ศาลนี้จึงเห็นว่านอกจากเงิน 60 บาทที่โจทก์ได้เสียไปในการจองที่นั่งแล้วหากจะมีความเสียหายอย่างไรอีกความเสียหายนั้นจะพึงคำนวณเป็นราคาเงินเท่าใดก็ไม่มีพยานหลักฐานอันจะคำนวณได้ ในคดีนี้โจทก์จึงไม่ควรได้รับค่าเสียหายมากไปกว่านั้นเพราะการกำหนดค่าเสียหายในกรณีผิดสัญญาตามธรรมดาศาลย่อมกำหนดเพื่อชดเชยการที่โจทก์ต้องเสียไป มิใช่กำหนดเพื่อเป็นการลงโทษจำเลย จำนวนค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
จึงพิพากษาแก้ให้โจทก์รับเงิน 60 บาทที่จำเลยนำมาวางศาลเป็นค่าเสียหายและให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสิ้นแทนจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 164 กับค่าทนาย 3 ศาลรวม 250 บาท