แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยขับเรือยนต์ไปตามคำสั่งของ ช. โดยขับแล่นเข้าไปจอดเทียบกับเรือบดของผู้เสียหาย เมื่อ ช.และป.ฉุดผู้เสียหายลงเรือยนต์ของจำเลยแล้วจำเลยก็เป็นคนขับพาผู้เสียหายไปโดยจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของ ช.ทั้งสิ้นทั้งที่ช. และ ป.ไม่ได้ขู่บังคับจำเลยเมื่อจำเลยรู้จัก ช. ป. และผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุเพราะอาศัยอยู่ในท้องที่เดียวกัน จำเลยน่าจะทราบว่าเหตุการณ์ที่ ช. และ ป. พาผู้เสียหายไปนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง จำเลยควรจะห้ามปราม แต่ไม่กระทำกลับเป็นธุระขับเรือยนต์ให้นอกจากนี้จำเลยทราบดีว่า ตนขับเรือยนต์พาผู้เสียหาย ช. และ ป. ไปส่งที่ไหนหากจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดและเพื่อเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์ของตนจำเลยควรรีบแจ้งให้ญาติที่บ้านของผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงานตำรวจทราบเพื่อรีบช่วยเหลือผู้เสียหายโดยเร็ว แต่จำเลยไม่ดำเนินการดังกล่าว เหตุที่บิดาและญาติพี่น้องของผู้เสียหายไปพบจำเลยในวันเกิดเหตุและได้ออกติดตามผู้เสียหายก็เพราะมีผู้นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งให้ทราบ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับ ช. และ ป.กระทำผิดฐานร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 284, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 วรรคแรก, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปีคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมในความผิดฐานนี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก3 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 8 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่นางสาวดวงเดือน บุญน้อย ผู้เสียหาย กับนางสาวนภารัตน์ รัตโน พายเรือบดกลับจากซื้อสิ่งของและจะกลับบ้าน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยขับเรือยนต์สองตอน มีนายชาญชัย ศรีพุ่ม และนายประคอง คงนุช นั่งมาด้วยแล่นเข้ามาจอดเทียบกับเรือบดของผู้เสียหายแล้วนายชาญชัยนำผู้เสียหายลงเรือยนต์ของจำเลยไปนายชาญชัยบอกให้จำเลยขับเรือยนต์พานายชาญชัย นายประคองและผู้เสียหายไปส่งที่บ้านหลังหนึ่ง ผู้เสียหายถูกควบคุมตัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว และผู้เสียหายยืนยันว่าถูกนายชาญชัยกระทำอนาจารและถูกนายประคองข่มขืนกระทำชำเราปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายและนางสาวนภารัตน์เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อเรือยนต์ของจำเลยแล่นเข้ามาจอดเทียบกับเรือบดของผู้เสียหายแล้ว นายชาญชัยได้พูดกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับผู้เสียหาย นายชาญชัยได้หยิบอาวุธปืนยาวมาจากบริเวณหัวเรือยนต์ของจำเลยและใช้อาวุธปืนยาวดังกล่าวจี้ที่ตัวผู้เสียหายแล้วนายชาญชัยได้ฉุดผู้เสียหายโดยมีนายประคองช่วยฉุดผู้เสียหายด้วย เมื่อผู้เสียหายถูกฉุดลงเรือยนต์ของจำเลย นายชาญชัยบอกให้จำเลยติดเครื่องเรือขณะเดียวกันนายชาญชัยได้ถีบเรือบดของผู้เสียหายจมลงเป็นเหตุให้นางสาวนภารัตน์ตกน้ำ ผู้เสียหายเบิกความต่อมาว่าจำเลยขับเรือยนต์ของจำเลยไปตามคำสั่งของนายชาญชัยจนกระทั่งไปถึงบ้านหลังหนึ่งนายชาญชัยกับนายประคองได้ช่วยกันจับผู้เสียหายไปที่บ้านหลังดังกล่าว เห็นว่า จำเลยเป็นคนขับเรือยนต์พานายชาญชัยและนายประคองแล่นไปจอดเทียบเรือบดของผู้เสียหายซึ่งกำลังพายอยู่ แล้วนายชาญชัยเป็นคนหยิบอาวุธปืนยาวซึ่งวางไว้ที่บริเวณหัวเรือยนต์ของจำเลยมาจี้ขู่บังคับผู้เสียหาย การที่นายชาญชัยนำอาวุธปืนยาวมาไว้บริเวณหัวเรือยนต์ของจำเลยนั้นจำเลยน่าจะต้องเห็นเพราะอาวุธปืนยาวดังกล่าวไม่สามารถแอบซ่อนได้เช่นเดียวกับอาวุธปืนสั้น ซึ่งในข้อนี้จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านรับว่า ขณะที่นายชาญชัยขึ้นจากเรือยนต์ของจำเลย จำเลยเห็นนายชาญชัยถืออาวุธปืนลูกซองยาวด้วย เพราะอาวุธปืนยาวดังกล่าวมีความยาวประมาณ 1 เมตร สามารถมองเห็นได้ง่าย จึงเชื่อว่าจำเลยต้องเห็นนายชาญชัยนำอาวุธปืนลูกซองยาวมาไว้ที่บริเวณหัวเรือยนต์ของจำเลยตั้งแต่แรกที่ลงมานั่งในเรือยนต์ของจำเลยซึ่งจำเลยต้องเข้าใจดีว่านายชาญชัยจะนำอาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดและนอกจากนี้ผู้เสียหายและนางสาวนภารัตน์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่านายชาญชัยและนายประคองได้ช่วยกันฉุดตัวผู้เสียหายให้ลงเรือยนต์ของจำเลย โดยนายชาญชัยเป็นคนใช้อาวุธปืนจี้ขู่บังคับผู้เสียหาย และก่อนที่จำเลยจะขับเรือยนต์พาผู้เสียหายไปนั้นนายชาญชัยได้ถีบเรือบดของผู้เสียหายให้จม นางสาวนภารัตน์จึงตกน้ำ แสดงว่าผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจไปกับเรือยนต์ของจำเลย การที่จำเลยขับเรือยนต์ไปตามคำสั่งของนายชาญชัยโดยขับเรือยนต์แล่นเข้าไปจอดเทียบกับเรือบดของผู้เสียหายเมื่อนายชาญชัยและนายประคองฉุดผู้เสียหายลงเรือยนต์ของจำเลยแล้วจำเลยเป็นคนขับเรือยนต์พาผู้เสียหายไปโดยจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของนายชาญชัยทั้งสิ้น ทั้งที่นายชาญชัยและนายประคองไม่ได้ขู่บังคับจำเลย ประกอบกับจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยรู้จักนายชาญชัย นายประคองผู้เสียหายและนางสาวนภารัตน์มาก่อนเกิดเหตุเพราะจำเลยกับบุคคลดังกล่าวอยู่อาศัยในท้องที่เดียวกันจำเลยน่าจะทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงและน่าจะทราบว่านายชาญชัยและนายประคองจะพาผู้เสียหายไปเพื่ออะไร จำเลยควรจะห้ามปรามนายชาญชัยและนายประคองไม่ให้กระทำการดังกล่าวแต่จำเลยไม่ได้ห้ามปราม จำเลยกลับเป็นธุระทำหน้าที่ขับเรือยนต์ให้แก่นายชาญชัยและนายประคอง นอกจากนี้ จำเลยทราบดีว่าจำเลยขับเรือยนต์พาผู้เสียหายนายชาญชัย และนายประคองไปส่งที่ไหน หากจำเลยไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดของนายชาญชัยและนายประคองและเพื่อเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยจำเลยควรรีบไปแจ้งให้ทางญาติที่บ้านของผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงานตำรวจทราบเพื่อให้รีบช่วยเหลือผู้เสียหายโดยเร็ว แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว เหตุที่บิดาและญาติพี่น้องของผู้เสียหายไปพบจำเลยในวันเกิดเหตุและได้ออกติดตามผู้เสียหายก็เพราะนางสาวนภารัตน์นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายชาญชัยและนายประคองกระทำผิดดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น