คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6540/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมไป แม้จำเลยจะมีสิทธิใช้สอยและครอบครองรถจักรยานยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ แต่รถจักรยานยนต์ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมประสงค์จะตรวจดู จำเลยจำต้องยอมให้ผู้เช่าซื้อตรวจดูทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้เป็นครั้งคราวในเวลาและระยะอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 555 การที่จำเลยไม่สามารถนำรถจักรยานยนต์มาให้โจทก์ร่วมตรวจดูได้ แม้จำเลยได้แสดงเจตนาที่จะชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ร่วม แต่จำเลยกับพวกนำรถไปขายที่ต่างประเทศแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเบียดบังเอารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมไปเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่นโดยสุจริต เป็นความผิดฐานยักยอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 เวลากลางวันจำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ จำนวน 1 คัน ราคา 70,600 บาท ไปจากบริษัทกาญจนบุรี เอส ไอ ที ลิสซิ่ง จำกัด ผู้เสียหาย และได้รับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวจากผู้เสียหายไว้ในครอบครองของจำเลย ต่อมาระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2543 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยได้เบียดบังเอารถจักรยานยนต์คันดังกล่าว โดยนำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวของผู้เสียหายไปขายและนำเงินที่ขายได้ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 70,600 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทกาญจนบุรี เอส ไอ ที ลิสซิ่ง จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นให้ผู้เสียหายเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในการสืบพยานและอื่นๆ ตลอดมาถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาธนบุรีรักษาการแทนอธิบดีอัยการเขต 7 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและโจทก์ร่วมอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่น เอ เอ็น 110 แอล อี เอส หมายเลขเครื่อง เอ เอ็น 110 แอล – อี – เอ 15821 ไปจากโจทก์ร่วม กำหนดชำระค่าเช่าซื้อ 36 งวด งวดแรกชำระในวันที่ 16 เมษายน 2543 จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดแรกในวันที่ 25 เมษายน 2543 ตามสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และการ์ดเก็บเงินเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 ต่อมาโจทก์ร่วมร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอก มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายประสาน คงสบาย เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากจำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์พิพาทไปแล้ว พยานสืบทราบจากคนละแวกอำเภอท่าม่วงว่าจำเลยกับนายสุทธิพันธ์ซึ่งได้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งด้วย นำรถไปขายที่ต่างประเทศ ประมาณวันที่ 20 เมษายน 2543 พยานให้จำเลยนำรถมาตรวจสอบ แต่จำเลยมิได้นำมา นายสุทธิพันธ์เป็นเจ้าของบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่เป็นคนนำรถไปขายนายสุทธิพันธ์ก็ไม่สามารถนำรถมาให้ตรวจสอบได้เช่นกัน ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่สามารถนำรถมาให้พนักงานของโจทก์ร่วมดูได้เนื่องจากนายสมบูรณ์ พันธ์มี พี่ชายจำเลยขอยืมรถไปใช้ นายสมบูรณ์เดิมอยู่ที่อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี แต่ได้แยกครอบครัวและย้ายสำเนาทะเบียนบ้านออกไป ตั้งแต่นายสมบูรณ์ยืมรถไป จำเลยไม่พบกับนายสมบูรณ์มาปีกว่าแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมไป แม้จำเลยจะมีสิทธิใช้สอยและครอบครองรถจักรยานยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ แต่เมื่อรถจักรยานยนต์ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมประสงค์จะตรวจดูรถจักรยานยนต์ จำเลยในฐานะผู้เช่าซื้อจำต้องยอมให้ผู้ให้เช่าซื้อหรือตัวแทนของผู้ให้เช่าซื้อตรวจดูทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้เป็นครั้งคราวในเวลาและระยะอันสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 555 การที่จำเลยไม่สามารถนำรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อมาให้โจทก์ร่วมหรือตัวแทนของโจทก์ร่วมตรวจดูได้เช่นนี้ แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาที่จะชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ร่วม แต่ตามพฤติการณ์ของจำเลยประกอบกับคำเบิกความของนายประสานพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่สืบทราบมาว่าจำเลยกับพวกนำรถไปขายที่ต่างประเทศแล้ว ถือได้ว่าจำเลยเบียดบังเอารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยไปเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่นโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว ที่จำเลยอ้างว่านายสมบูรณ์ยืมไปใช้ หากเป็นจริงจำเลยก็ชอบที่จะนำรถมาแสดงต่อโจทก์ร่วมได้เพื่อแสดงความสุจริตของจำเลย แต่จำเลยก็หาได้ขวนขวายที่จะนำรถมาคืนหรือแสดงต่อโจทก์ร่วม ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังเพื่อหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์หรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 70,600 บาท แก่โจทก์ร่วม

Share