คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าโกดัง ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จำเลยจะสืบพยานบุคคลว่ามีข้อสัญญาด้วยวาจาเพิ่มเติมอีกไม่ได้
ผู้เช่าไม่มีอำนาจต่อสู้คดีว่าผู้ให้เช่าไม่มีอำนาจให้เช่าทรัพย์สินที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาเช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2492 จำเลยทำสัญญาเช่าช่วงโกดัง 2 หลังไปจากโจทก์ คิดค่าเช่ากันเดือนละ 500 บาท และจำเลยยอมออกค่าซ่อมแซมฉางให้แก่โจทก์เป็นเงินอีก 222,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นรายปี ๆ ละ 4 งวดมีกำหนดการเช่ากัน 3 ปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2492 ครั้นเดือนกรกฎาคม 2493 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกการเช่ารายนี้ก่อนครบกำหนดเช่า และจำเลยชำระค่าเช่าให้เพียงเดือนมีนาคม 2493 และชำระค่าซ่อมแซมฉางเพียงงวดที่ 1และที่ 2 ของปีที่ 1 เท่านั้น ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าเช่าและค่าซ่อมแซมฉางแก่โจทก์เป็นเงิน 45,500 บาท กับดอกเบี้ย

จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยทำสัญญาเช่าช่วงโกดัง แต่เจตนาเป็นการเช่าธรรมดาและมีข้อตกลงในประการอื่นอีกหลายข้อ คือ

(1) โจทก์จะจัดให้จำเลยได้มีโทรศัพท์ใช้

(2) โจทก์ยอมให้จำเลยปลูกที่พักคนงานและครัว

(3) โจทก์ยอมให้จำเลยปลูกสร้างสำนักงาน และ

(4) โจทก์จะจัดให้จำเลยได้รับอนุญาตสร้างสะพานลงแม่น้ำแต่โจทก์ไม่สามารถจะจัดให้จำเลยได้สร้างสะพานได้

จำเลยสืบรู้ว่าโกดังรายนี้ไม่ใช่ของโจทก์ เป็นของบริษัทเกลือไทย จำกัด ให้โจทก์เช่า โจทก์หามีสิทธินำมาให้จำเลยเช่าช่วงไม่และทราบว่าบริษัทเกลือไทยจะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ จำเลยเข้าใจผิดว่าโกดังเป็นของโจทก์ สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆียะ โจทก์ไม่สามารถจัดให้จำเลยได้สิทธิทำสะพานลงแม่น้ำ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าตามหนังสือลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2493 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ในวันชี้สองสถานจำเลยรับว่า ได้ทำสัญญาเช่าไว้กับโจทก์ตามสำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้องจริง และคำมั่นสัญญาและบันทึกต่อท้ายสัญญาก็ทำไว้จริง ได้ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ถึงเดือนมีนาคม 2493 และชำระค่าซ่อมแซมฉางปีที่ 1 งวดที่ 1 ที่ 2 แล้วส่วนข้อตกลง 4 ประการที่อ้างต่อสู้นั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือ

จำเลยจะขอนำพยานบุคคลเข้าสืบว่าได้มีการตกลงกับโจทก์ดังข้อต่อสู้และสืบว่าโจทก์ไม่มีอำนาจเอาโกดังรายนี้มาให้เช่า

ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าโกดังเป็นอสังหาริมทรัพย์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บัญญัติว่า ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ฉะนั้น จำเลยจะนำพยานบุคคลเข้าสืบ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เมื่อจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์แล้วจะกลับเถียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าไม่ได้ เป็นการปิดปากจำเลย การกล่าวอ้างเช่นนี้เป็นเรื่องของบริษัทเกลือไทย จำกัด ส่วนข้อที่ว่าสัญญาเช่าเป็นโมฆียะจำเลยมีสิทธิบอกกล่าวนั้น เมื่อชี้ขาดว่า จำเลยเถียงอำนาจของโจทก์ไม่ได้ ข้อต่อสู้ข้อนี้ก็ตกไป

เรื่องนี้จำเลยบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ผู้เช่าต้องชำระเงินเต็มตามคำมั่น(คำมั่นสัญญาข้อ 2) ที่โจทก์เรียกร้องค่าเช่าเพียง 10 เดือน และค่าซ่อมแซมฉาง 3 งวดเท่านั้น เป็นผลดีแก่จำเลยแล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าซ่อมแซมฉางเป็นเงิน 45,500 บาท ตามฟ้องกับให้เสียดอกเบี้ยร้อยละ7 1/2 ต่อปี ให้เสียค่าธรรมเนียมค่าทนาย 900 บาทแทนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ได้ความว่าจำเลยทำสัญญาเช่าโกดังจากโจทก์มีกำหนด 3 ปี กำหนดค่าเช่ากันไว้เป็นรายเดือน และยังให้คำมั่นสัญญาแก่โจทก์ซึ่งจำเลยจะต้องออกเงินค่าซ่อมแซมฉางข้าวให้แก่โจทก์ตามรายปีที่เช่ากำหนดจำนวนเงินและวันเดือนปีที่จะชำระให้เป็นงวด ๆ อีกด้วย สัญญาเช่าโกดังนี้เป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีปัญหา ซึ่งกฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่จะต้องรับผิด ตามความในมาตรา 538 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้น จำเลยจะขอนำพยานบุคคลมาสืบว่านอกจากที่ปรากฏในข้อสัญญาเช่าที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วยังมีข้อตกลงกันด้วยวาจาเพิ่มเติมต่อไปอีกรวม 4 ข้อ ดังข้อต่อสู้ของจำเลยหาได้ไม่เพราะข้อตกลงนั้นย่อมเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นเอง จึงต้องห้ามตามมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจเอาโกดังรายนี้ของบริษัทเกลือไทยมาให้จำเลยเช่าได้นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏตามที่รับกันแล้ว จำเลยได้ใช้ทรัพย์ที่เช่าและได้ชำระค่าเช่ากับค่าซ่อมแซมฉางข้าวแก่โจทก์ตามข้อสัญญาและคำมั่นสัญญานั้นเป็นบางส่วนไปแล้ว แสดงว่าจำเลยได้ใช้ทรัพย์สินที่โจทก์ให้จำเลยเช่านั้นแล้ว จำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิให้เช่านั้นไม่ได้ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นชอบแล้ว

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย ให้จำเลยใช้ค่าทนายในชั้นฎีกาเป็นเงิน600 บาท แทนโจทก์

Share