แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบแจ้งย้ายว่า จำเลยย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเลขที่ 91 โดยเป็นความเท็จ เมื่อปรากฏว่า จำเลยได้เข้ามาอยู่ในห้องนั้นจริง และชี้ไม่ได้ว่าลายเซ็นของโจทก์ปลอม จำเลยก็ไม่มีผิดฐานแจ้งความเท็จ
จำเลยเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทโดยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองห้องพิพาท จำเลยไม่มีผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
ได้ความว่า จำเลยเป็นผู้เช่าห้องเลขที่ 91 จากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จำเลยได้เซ้งห้องนี้แก่นายยุ่นจอง ๆ เซ้งให้นายกีเชียง ต่อมาทรัพย์สินต้องการทำสัญญาเช่าใหม่ วางหลักเกณฑ์ไว้ว่าผู้ขอต่อสัญญาได้ต้องเป็นผู้เช่าเดิม และยังมีตัวอยู่ในห้องเช่าเดิม จำเลยกับนายกีเชียงจึงตกลงกันว่า ให้จำเลยไปแจ้งย้ายทะเบียนเข้ามาอยู่ในห้องเลขที่ 91 โดยเป็นผู้อาศัยนายกีเชียงในใบแจ้งย้ายมีนายกีเชียงเซ็นรับรอง แล้วจำเลยก็ไปทำสัญญาเช่ากับทรัพย์สินสำเร็จเรียบร้อยและเข้ามาอยู่ในห้อง โดยนายกีเชียงไม่ทราบเพราะนายกีเชียงไม่อยู่ เมื่อนายกีเชียงกลับมา จำเลยขอให้นายกีเชียงออกจากห้องนี้ไป แต่จำเลยไม่ยอมให้เงินค่าเซ้งห้องที่นายกีเชียงเสียไป นายกีเชียงจึงไม่ยอมออกเกิดทะเลาะกันนายกีเชียงจึงไปแจ้งความ จำเลยถูกฟ้องฐานปลอมใบแจ้งย้าย แจ้งความเท็จ และบุกรุกศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ และบุกรุก ยกฟ้องฐานปลอมหนังสือ
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานปลอมหนังสือเป็นอันถึงที่สุดเพราะโจทก์ไม่อุทธรณ์ และเห็นว่าจำเลยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเลขที่ 91 จริง เมื่อฟังไม่ได้ว่าลายเซ็นนายกีเชียงในใบแจ้งย้ายปลอมจำเลยไม่มีผิดฐานแจ้งความเท็จ
ความผิดฐานบุกรุกนั้น จำเลยเข้าใจว่า จำเลยมีสิทธิเข้าครอบครองห้องพิพาทได้ เพราะได้ต่อสัญญาเช่าจากทรัพย์สินในนามของจำเลยแล้วจึงไม่มีความผิด
พิพากษายืน