แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 บุกรุกเข้าไปในที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์และปลูกบ้านอยู่อาศัย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดิน ที่ปลูกบ้านของจำเลยแต่ละคนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ละคนโดยการครอบครองปรปักษ์ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้าไปสร้างบ้านแยกต่างหากจากกันตามที่จำเลยแต่ละคนโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสี่ขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวนเดือนละ 300 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายดังกล่าวเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้ยกฟ้อง เมื่อทุนทรัพย์ตามฎีกาของจำเลยแต่ละคนแต่ละสำนวนที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวนไม่เกินจำนวน 200,000 บาท แม้จำเลยทั้งสี่จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ก็ห้ามมิให้จำเลยแต่ละคนฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 มีจำนวนเพียง 44,000 บาท ไม่เกินจำนวน 50,000 บาท ห้ามมิให้จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่3 ในข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อเท็จจริงโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
จำเลยทั้งสี่ฎีกาในข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสี่ให้การโดยชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดในคำให้การเพราะจำเลยทั้งสี่สามารถสืบเหตุแห่งการได้มาโดยไม่สุจริตของโจทก์ในชั้นพิจารณาได้ คำให้การของจำเลยทั้งสี่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว ดังนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่ครอบครองที่ดินในส่วนพิพาทมายังไม่ถึง 10 ปี จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และจำเลยทั้งสี่ไม่อาจฎีกาโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ได้ แม้จะวินิจฉัยฎีกาในข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ให้ ก็ไม่มีผลทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าจำเลยทั้งสี่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่พิพาทและศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงในข้อดังกล่าวตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา แม้จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวมาโดยไม่สุจริต ก็ไม่มีผลทำให้จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
นอกจากจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะแล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังระบุไว้ในแผนผังท้ายคำให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินตามโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เท่ากับจำเลยทั้งสี่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ เพราะถ้าที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่สาธารณะจำเลยทั้งสี่จะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ได้ เพราะจำเลย ทั้งสี่ไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 ประกอบกับทนายจำเลยทั้งสี่แถลงรับว่า บ้านของจำเลยทั้งสี่อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์จริง และเจ้าหน้าที่ได้ทำแผนที่วิวาทและคำนวณเนื้อที่และตำแหน่งที่ตั้งบ้านถูกต้องตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่นำชี้จริง เช่นนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสี่ยกประเด็นนี้ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คดีทั้งสี่สำนวนมีทุนทรัพย์พิพาทกันในแต่ละสำนวนแยกต่างหากจากกันได้ ค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดแต่ละสำนวนเกินกว่าอัตราขั้นสูง ตามตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้าย ป.วิ.พ. จึงไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็น สมควรแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยแต่ละคนชดใช้ค่าเสียหายจำนวนเดือนละ ๒๐๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่า ที่ดินจำนวน ๒๗ ไร่เศษ ดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ โจทก์ให้การขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ มิได้วางเงินค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ทิ้งฟ้องแย้ง และให้จำหน่ายคดีสำหรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวนเดือนละ ๓๐๐ บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกไปหมดสิ้น ให้จำเลยทั้งสี่แต่ละคนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ ๓๐,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สำนวนว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ บุกรุกเข้าไปในที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์และปลูกบ้านอยู่อาศัยคิดเป็นราคาที่ดินจำนวน ๘๒,๕๐๐ บาท จำนวน ๖๖,๐๐๐ บาท จำนวน ๔๔,๐๐๐ บาท และจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินที่ปลูกบ้านของจำเลยแต่ละคนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย แต่ละคนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ดังนี้ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้าไปสร้างบ้านแยกต่างหากจากกันตามที่จำเลยแต่ละคนโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลย ทั้งสี่ขนย้ายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน เดือนละ ๓๐๐ บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายดังกล่าวเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้ยกฟ้องทุนทรัพย์ตามฎีกาของจำเลยแต่ละคนในแต่ละสำนวนที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แม้จำเลยทั้งสี่จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ก็ห้ามมิให้จำเลยแต่ละคนฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสี่ฎีกาได้เฉพาะในข้อกฎหมาย
ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ มีจำนวนเพียง ๔๔,๐๐๐ บาท ไม่เกินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ห้ามมิให้จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ในข้อเท็จจริงจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ด้วย
จำเลยทั้งสี่ฎีกาในข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสี่ให้การโดยชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดในคำให้การ เพราะจำเลยทั้งสี่สามารถนำสืบเหตุแห่งการได้มาโดยไม่สุจริตของโจทก์ในชั้นพิจารณาได้ คำให้การของจำเลยทั้งสี่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นเรื่องนี้ เห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่ครอบครองที่ดินในส่วนที่พิพาทมายังไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ และจำเลยทั้งสี่ไม่อาจฎีกาโต้แย้งการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ได้ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว แม้จะวินิจฉัยฎีกาในข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ให้ก็ไม่มีผลทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า จำเลยทั้งสี่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่พิพาทและศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงในข้อดังกล่าวตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา แม้จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวมาโดยไม่สุจริตก็ไม่มีผลทำให้จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ฎีกา ข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาในข้อกฎหมายประการสุดท้าย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าประเด็นที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสี่ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินสาธารณะ จำเลยทังสี่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้น ปรากฏตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ให้การไว้เลยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ยังระบุไว้ในแผนผังท้ายคำให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินตามโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ นอกจากนี้จำเลยทั้งสี่ยังให้การว่า จำเลยทั้งสี่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เท่ากับจำเลยทั้งสี่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ เพราะถ้าที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณะ จำเลยทั้งสี่จะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ได้ เพราะจำเลยทั้งสี่ไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็น ข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๖ ประกอบกับทนายจำเลยทั้งสี่แถลงรับว่า บ้านของจำเลยทั้งสี่อยู่ในเขตที่ดินของโจทก์จริง เช่นนี้ คดีจึง ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณะหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยทั้งสี่ยกปัญหานี้ขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่ไม้ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่งที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ ๓๐,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ปรากฏว่าคดีทั้งสี่สำนวนมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในแต่ละสำนวนแยกต่างหากจากกันได้ ค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเกินกว่าอัตราขั้นสูงร้อยละ ๕ ตามตาราง ๖ อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การกำหนดค่าทนายความในอัตราดังกล่าวของ ศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ