คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 บัญญัติว่า”ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง” โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ผิดตามมาตรา 428 ดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ผิดในส่วนสั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้แก่ผู้รับจ้างอย่างไรและในการเลือกผู้รับจ้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานรากก็ปรากฏว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษในการก่อสร้างอาคารสูง การที่จำเลยว่าจ้างบริษัท ป. เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ ย่อมหมายความว่าจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือสั่งการในการทำงานแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของบริษัททั้งสอง เมื่อความเสียหายเกิดขึ้น โจทก์จะต้องไปเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากผู้ก่อสร้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันทำให้จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์8,210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 171,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหรือจนกว่าจะซ่อมแซมอาคารที่ให้เช่าแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เข้าใจได้ว่า จำเลยกระทำการอย่างไรอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเช่นที่โจทก์กล่าวอ้าง ฟ้องของโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 กันยายน 2535) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2438 ตำบลสาธร อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร และเป็นเจ้าของอาคารแมคฟาร์แลนด์ อาคารสมัครมิตรวัฒนา อาคารห้องสอนภาษา อาคารห้องอาหาร และอาคารอื่น ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าว เมื่อปี 2532 จำเลยว่าจ้างบริษัทคริสเตียนีและฮอลส์แมนน์ (ไทย) จำกัด ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ทำการก่อสร้างฐานรากอาคารจอดรถและสระว่ายน้ำลงบนที่ดินของจำเลยซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โดยจ้างบริษัทโปรเจคซิสเต็มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบจากการขุดดินบริเวณที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้ซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์ทำให้ดินในเขตที่ดินของโจทก์เลื่อนไหลไปเป็นเหตุให้อาคารแมคฟาร์แลนด์อาคารสมัครมิตรวัฒนา อาคารห้องสอนภาษา อาคารห้องอาหารและพื้นที่บริเวณรั้วแตกร้าวและทรุดตัว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยอ้างว่าเดิมโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 3ว่า จำเลยก่อสร้างอาคารขนาดต่าง ๆ ลงบนที่ดินของจำเลยที่ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้างของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายกับค่าขาดรายได้ ต่อมาโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอยกเลิกข้อความในคำฟ้องข้อ 3 และข้อ 3.1 ทั้งหมดโดยให้ใช้ข้อความตามคำร้องแทน ซึ่งในคำฟ้องดังกล่าวโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ให้ก่อสร้างอาคาร แต่โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยมีส่วนผิดอย่างไรในการว่าจ้างผู้รับเหมานั้น เห็นว่า เมื่ออ่านคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วได้ความว่า เมื่อปี 2532จำเลยได้ก่อสร้างอาคารขนาดต่าง ๆ ลงบนที่ดินของจำเลยซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โดยว่าจ้างบริษัทคริสเตียนีและฮอลส์แมนน์ (ไทย) จำกัด ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ทำการขุดดินบริเวณที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้ซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยในฐานะผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีส่วนผิดในการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ได้ให้ไว้ และเป็นผู้เลือกหาผู้รับจ้างเพราะบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด มิได้ใช้ความระมัดระวังในการทำงานทำให้ดินในเขตที่ดินของโจทก์เลื่อนไหลไป เป็นเหตุให้อาคารแมคฟาร์แลนด์ อาคารสมัครมิตรวัฒนา อาคารห้องสอนภาษา อาคารห้องอาหาร และพื้นที่บริเวณรั้วแตกร้าวและทรุดตัว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 8,210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีกับขาดประโยชน์อีกเดือนละ 171,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนจำเลยจะมีส่วนผิดอย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยว่าจ้างบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ก่อสร้างฐานรากอาคารจอดรถกับสระว่ายน้ำนั้น จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด เป็นผู้รับจ้าง เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งมาตรา 428 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง” โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 428 ดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้แก่ผู้รับจ้างอย่างไร และในการเลือกหาผู้รับจ้างคือบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยเลือกผู้รับจ้างที่ไม่มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ในการก่อสร้างให้ทำการตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานรากของอาคารแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงกลับได้ความจากนายสมชายหรือวุฒิภูมิ ตงเจริญ พยานจำเลยว่า บริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด มีชื่อเสียงเป็นบริษัทก่อสร้างติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ซึ่งมีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษในการก่อสร้างอาคารสูง การที่จำเลยว่าจ้างบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด เป็นผู้ตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานราก บริษัทโปรเจคซิสเต็ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ ย่อมหมายความว่า ในการตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานรากของอาคารจอดรถและสระว่ายน้ำ จำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือสั่งการในการทำงานแต่อย่างใด เพราะหน้าที่ในการก่อสร้างเป็นของบริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด และหน้าที่ในการควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบเป็นของบริษัทโปรเจคซิสเต็ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจากการก่อสร้าง โจทก์จะต้องไปเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากผู้ก่อสร้าง คือ บริษัทฟิลิพพ์ฮอลส์แมนส์ (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิดไม่ใช่จากจำเลย เพราะจำเลยไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันทำให้จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยข้ออื่นอีกต่อไป”

พิพากษากลับ

Share