คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6528/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริต เมื่อจำเลยและผู้ร้องสอดกล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและรับโอนมาโดยไม่สุจริต จำเลยและผู้ร้องสอดจึงมีหน้าที่นำสืบ จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาว่า ขณะศาลชั้นต้นออกไปนอกห้องพิจารณา โจทก์ออกไปซักซ้อมพยานนอกห้องพิจารณา 2 ครั้ง เป็นการไม่ชอบแต่ปรากฏว่าจำเลยและผู้ร้องสอดมิได้แถลงคัดค้านการกระทำของโจทก์ในวันดังกล่าวกลับยอมให้โจทก์นำพยานดังกล่าวเข้าสืบและถามค้านไปตามปกติ เพิ่งคัดค้านเมื่อเวลาเนิ่นไปถึง 7 วัน แสดงว่า จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ติดใจคัดค้านและให้สัตยาบันแก่การกระทำของโจทก์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทระหว่างมีการอายัดที่ดินพิพาทเป็นการไม่สุจริต มูลหนี้ตามคำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมายคำพิพากษาและการขายทอดตลาดก็ไม่เป็นกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตาม แต่ปรากฏว่าจำเลยและผู้ร้องสอดไม่ได้ให้การไว้และที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้จึงล้วนแต่เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524 จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย เป็นการบรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขับไล่ให้ออกไปจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาโดยตีราคาที่ดินพิพาท 274,665 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์274,665 บาท ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยและผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 5,000 บาท จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 372ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 27 ไร่31 ตารางวา โดยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวมาก่อนที่โจทก์จะรับโอนกรรมสิทธิ์ โดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดิน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ยอมออกไปจากที่ดิน ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่372 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้อีก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 15,444 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 1,188 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต เพราะได้ร่วมกับบุคคลอื่นทำการฉ้อฉลและโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสันติพงษ์ซึ่งรับโอนมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2519 จำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์โดยอาศัยสิทธิของนายสันติพงษ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกไปจากที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้ชี้ชัดถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความโดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องสอด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนเป็นชื่อผู้ร้องสอดห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพราะไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 372 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยและผู้ร้องสอดเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 15,444 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 1,188บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์ กับให้จำเลยและผู้ร้องสอดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ1,000 บาท
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยและผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาข้อแรกว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่าสุจริตหรือไม่ และศาลชั้นต้นให้จำเลยและผู้ร้องสอดนำสืบก่อนไม่ชอบ เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยและผู้ร้องสอดกล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและรับโอนมาโดยไม่สุจริตจำเลยและผู้ร้องสอดจึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นและสั่งให้จำเลยและผู้ร้องสอดนำสืบจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยและผู้ร้องสอด ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาต่อไปว่าขณะศาลชั้นต้นมีธุระออกไปนอกห้องพิจารณา โจทก์ออกไปซักซ้อมพยานปากนายเอี่ยมและนายทองอยู่นอกห้องพิจารณา 2 ครั้ง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ ขอให้ยกเลิกกระบวนพิจารณา ปรากฏว่าในวันสืบพยานโจทก์ปากนายเอี่ยมและนายทองอยู่ในวันที่ 14 ธันวาคม2532 จำเลยและผู้ร้องสอดมิได้แถลงคัดค้านการกระทำของโจทก์ในวันดังกล่าว กลับยอมให้โจทก์นำพยานทั้งสองปากเข้าสืบและถามค้านพยานไปตามปกติ เพิ่งคัดค้านในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 เห็นว่า การที่จำเลยและผู้ร้องสอดทราบถึงการกระทำดังกล่าวของโจทก์แล้วมิได้คัดค้านเสียก่อนโจทก์นำพยานทั้งสองปากเข้าสืบก็ดี การที่จำเลยและผู้ร้องสอดยอมให้โจทก์นำพยานดังกล่าวเข้าสืบและถามค้านไปตามปกติก็ดี และการที่ปล่อยเวลาให้เนิ่นไปถึง 7 วันก็ดี แสดงว่า จำเลยและผู้ร้องสอดไม่ติดใจคัดค้านและเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำของโจทก์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองฎีกาจำเลยและผู้ร้องสอดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาอีกว่า การซื้อขายหรือรับโอนที่ดินพิพาทของโจทก์ระหว่างมีการอายัดที่ดินพิพาทเป็นการไม่สุจริตก็ดี มูลหนี้ตามคำพิพากษาที่เป็นเหตุให้มีการยึดที่ดินพิพาทขายทอดตลาดเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาของศาลและการขายทอดตลาดก็ไม่เป็นกฎหมายที่จะต้องยึดถือและปฏิบัติตามนั้นก็ดี จำเลยไม่ได้ให้การสู้คดีไว้ และผู้ร้องสอดก็ไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องสอด ส่วนที่จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องก็ดี ปรากฏว่าศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ฎีกาของจำเลยและผู้ร้องสอดทั้งสามข้อดังกล่าวล้วนแต่เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยจำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่า เจ้าของเดิมชื่ออะไรโจทก์ได้มาเมื่อใด อย่างไร สุจริตหรือไม่ เป็นคำฟ้องเคลือบคลุมเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 372 โดยจดทะเบียนรับโอนมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย เป็นการบรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมฎีกาจำเลยและผู้ร้องสอดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาข้อสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยและผู้ร้องสอดชำระค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท ไม่ชอบ เพราะคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 15,444 บาท เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องสอดต่อสู้กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และผู้ร้องสอดได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาโดยตีราคาที่ดินพิพาท 274,665 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 274,665 บาทฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยและผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 5,000 บาท จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share