แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาทร่วมกัน เดิมโจทก์ให้บริษัทจำเลยใช้อาคารพิพาทประกอบการค้า ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยออกจากอาคารพิพาท แต่หลังจากนั้นจำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท แม้การทำหนังสือสัญญาเช่าระหว่างจำเลยร่วมทั้งสองจำเลยดังกล่าวโจทก์จะไม่ทราบ แต่การให้เช่าอาคารพิพาทถือเป็นการจัดการธรรมดาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 วรรคสอง ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ของเจ้าของรวมและนอกจากจะไม่เสียหายแล้วกลับมีประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะเดิมโจทก์เพียงให้จำเลยอาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทน แต่จำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทโดยคิดค่าเช่า กรณีไม่เป็นการใช้ทรัพย์สินในทางขัดต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะไม่ตกลงยินยอมด้วยก็ตามแต่จำเลยร่วมทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินได้เช่นกันจึงมีสิทธิทำสัญญาให้จำเลยเช่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพิพาท และส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 310,000 บาท แก่โจทก์ และค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาทและส่งมอบอาคารพิพาทแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณา นายวิรุฬที่ 1 และนายประวิทย์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพิพาท และส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 6,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 มิถุนายน 2543) จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพิพาทและส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยและจำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยและจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันสร้างอาคารพิพาทเพื่อให้บุคคลภายนอกเช่า โดยโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำเลยขึ้น มีโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองเป็นกรรมการ โดยมีเจตนาที่จะให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการเก็บค่าเช่าจากผู้ที่มาเช่าห้องพักในอาคารพิพาทแทนเจ้าของรวม และให้จำเลยตั้งสำนักงานอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน ต่อมาโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองมีกรณีพิพาทกันถึงขั้นแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาต่อกันและจำเลยร่วมทั้งสองได้ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นจำเลย ลงมติปลดโจทก์ออกจากกรรมการของจำเลย เมื่อโจทก์ทราบเรื่องว่าถูกปลดจากการเป็นกรรมการของจำเลยจึงได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยออกจากอาคารพิพาท จำเลยร่วมทั้งสองผู้เป็นเจ้าของรวมจึงทำหนังสือสัญญาเช่าให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท ดังนี้ แม้การทำหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวจะได้กระทำไปโดยโจทก์ไม่ทราบ แต่การให้เช่าอาคารพิพาทก็ถือเป็นการจัดการธรรมดาและเป็นไปตามเจตนาเดิมของโจทก์กับจำเลยทั้งสองที่ร่วมกันก่อสร้างอาคารพิพาทเพื่อให้บุคคลภายนอกเช่า อันตรงตามวัตถุประสงค์แห่งเจ้าของรวม นอกจากจะไม่เสียหายแล้วยังกลับจะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่า เพราะเดิมโจทก์เพียงแต่ทำหนังสือสัญญาให้จำเลยอาศัยอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทน แต่จำเลยร่วมทั้งสองกลับให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทโดยคิดค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท การที่จำเลยร่วมทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญาเช่าให้จำเลยเช่าในอาคารพิพาท จึงไม่เป็นการใช้ทรัพย์สินในทางขัดต่อสิทธิของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง แม้ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมจะไม่ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม แต่จำเลยร่วมทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของรวมย่อมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินได้เช่นกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท.