แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวอ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือ 7 ตารางวา แต่ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วเข้าไปในที่ดินโจทก์ในคดีก่อน เมื่อคดีก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้สร้างรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 638 เนื้อที่ 1 งาน และจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 639 (ที่ถูก 640) ตำบลสระพัง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 75 ตารางวา ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือ เมื่อประมาณต้นสิงหาคม 2542 จำเลยและบริวารได้ทำการสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ คิดเป็นเนื้อที่ 7 ตารางวา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วไม้ไผ่พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 638 ตำบลสระพัง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและบริวารไม่เคยสร้างรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด และโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยเมื่อปี 2531 กล่าวหาว่า จำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ 20 ตารางวา ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้ำ และโจทก์ได้ก่อสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้หลังคาบ้านหรือโรงเรือนล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยทำให้น้ำฝนตกจากหลังคาดังกล่าวลงมาในที่ดินของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์รื้อถอนขนย้ายหลังคาอาคารหรือโรงเรือนที่ยื่นล้ำทำให้น้ำฝนตกจากหลังคาเข้ามาในที่ดินของจำเลย หากโจทก์ไม่รื้อถอนให้จำเลยเป็นผู้รื้อถอน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 7 ตารางวา การกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน เนื้อที่ไม่เท่ากัน โจทก์ไม่เคยก่อสร้างหลังคาหรือโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรธ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 638 ตำบลสระพัง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี และจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 640 ตำบลสระพัง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี อยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ ปี 2531 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยว่าจำเลยลักลอบขยับแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือคิดเป็นเนื้อที่ 20 ตารางวา จำเลยให้การต่อสู้ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวอ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือ 7 ตารางวา ตามแผนผังเอกสารหมาย จ.2 เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบแผนผังดังกล่าวกับแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ล.2 ในคดีก่อนแล้วจะเห็นได้ว่าส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำในคดีนี้กับคดีก่อนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันโดยเนื้อที่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วไม้ไผ่รุกล้ำในคดีนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยสร้างรั้วเข้าไปในที่ดินโจทก์ในคดีก่อน เมื่อคดีก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้สร้างรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์เท่ากับว่าที่ดินภายในรั้วฝั่งของจำเลยเป็นที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์ มิใช่ที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนั้น การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนจำเลย 2,000 บาท