คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมาสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 3 ได้ ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดด้วยเป็น คำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แต่โจทก์มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นความจริง และพยานหลักฐาน โจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 มีน้ำหนัก รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนวิ่งไล่ตีผู้ตายเข้าไปในสวนยางจนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 จึง มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ไม้ท่อนตีนายสายฝนสุวงศ์ภักดี ผู้ตายโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานยึดไม้ท่อนและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289(4) ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามมาตรา 78 ประกอบมาตรา52(1) คงจำคุกตลอดชีวิต ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4ริบไม้ท่อนของกลาง แต่รถจักรยานยนต์ของกลางยังฟังไม่ได้ว่าใช้ในการกระทำผิดจึงไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 4 ตามฟ้อง จำเลยที่ 3อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์และจำเลยที่ 1ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุก 15 ปี ลดโทษหนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ตามฟ้อง จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายสายฝนสุวงศ์ภักดี ผู้ตาย เป็นคนจังหวัดสกลนคร มารับจ้างกรีดยางที่สวนยางในท้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีความผูกพันรักใคร่กับนางสาวพรรณา ปิ่นทองศรี น้องสาวจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1เคยได้เสียกับนางสาวพรรณา แต่นางสาวพรรณาไม่ยอมอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 1 ที่ 2ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้ตายจากที่พักในสวนยางแล้วผู้ตายหายไปไม่กลับมาที่พัก นางสาวพรรณาทราบเรื่องจากเพื่อนคนงานของผู้ตายจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกาญจนดิษฐ์ว่าสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะพาผู้ตายไปฆ่า และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4ฆ่าผู้ตาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสี่ดำเนินคดี ปัญหาในชั้นฎีกามีว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า…
จำเลยที่ 3 นำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่และอ้างว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายบังคับให้ลงชื่อในกระดาษที่มีข้อความอยู่แล้ว
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ที่ 3ได้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ที่ 3ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกันใช้ไม้ท่อนที่จำเลยที่ 1 เตรียมไว้ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตายในสวนยางข้างทาง ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์พาผู้ตายจากบ้านของจำเลยที่ 1 จะไปส่งที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ ตามเอกสารหมาย จ.1 จ.5 และ จ.7 จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ฆ่าผู้ตาย พยานหลักฐานโจทก์คงมีคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1และคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน และเป็นพยานบอกเล่าไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังมาลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตายโดยจำเลยที่ 3 ร่วมด้วยแม้ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การรับสารภาพ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็มิได้อุทธรณ์ต่อไป ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริงดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาประกอบกับได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.16 ของนางวอน นาคประสม มารดาจำเลยที่ 1 พยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 เป็นบุตรของพี่ชายนางวอน จึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 3 มิได้กระทำผิด จำเลยที่ 1 ก็คงไม่ให้การปรักปรำจำเลยที่ 3 เพื่อให้ต้องรับโทษด้วยเป็นแน่ จึงเชื่อได้ว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.5เป็นความจริงคำให้การดังกล่าว ที่กล่าวถึงจำเลยที่ 3 ว่าร่วมกระทำผิดด้วย แม้จะเป็นคำของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ก็มีเหตุเชื่อได้ว่าเป็นความจริง เพราะจำเลยที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.7 มีรายละเอียดแห่งการกระทำสอดคล้องต้องกันกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3ให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และผู้ตายนั่งซ้อนท้ายแล่นมาตามถนนลูกรังแล้วจำเลยที่ 1 จอดรถลงมาต่อว่าผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องนางสาวพรรณาจำเลยที่ 1 กับผู้ตายเกิดชกต่อยกันจำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 3ว่าไม้อยู่นั่น จำเลยที่ 3 จึงคว้าไม้ตีผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีเข้าไปในสวนยาง จำเลยที่ 1 คว้าไม้ไล่ตีผู้ตายเข้าไปในสวนยางโดยจำเลยที่ 3 วิ่งตามเข้าไปด้วย จนผู้ตายล้มหมดสติไป นอกจากนี้โจทก์มีแผนที่เกิดเหตุและรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.2และ จ.3 ซึ่งพนักงานสอบสวนทำขึ้น โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 นำชี้ประกอบคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสมยศ แก้วบังเกิด พนักงานสอบสวนได้ความว่า พบศพผู้ตายอยู่ในสวนยางห่างถนนประมาณ 20 เมตร มีไม้ท่อนข้าง ๆ ศพ และมีร่องรอยการต่อสู้กันในบริเวณที่เกิดเหตุ แสดงว่าจำเลยที่ 1 กับผู้ตายมีการต่อสู้กัน แล้วผู้ตายถูกจำเลยที่ 1ที่ 3 ใช้ไม้ท่อนตี ผู้ตายวิ่งหนีเข้าไปในสวนยาง ซึ่งตรงกับคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 จึงรับฟังประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 ได้ ที่จำเลยที่ 3เบิกความว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้าย บังคับให้ลงชื่อในกระดาษที่มีข้อความอยู่แล้วโดยไม่ทราบข้อความ เป็นคำเบิกความลอย ๆไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมาสืบยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดด้วยเป็นคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แต่โจทก์มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นความจริง และพยานหลักฐานโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนวิ่งไล่ตีผู้ตายเข้าไปในสวนยาง จนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยที่ 3 จะมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ได้ความว่า ผู้ตายเป็นคนรักของนางสาวพรรณาส่วนจำเลยที่ 1 เคยได้เสียกับนางสาวพรรณา แต่นางสาวพรรณาไม่ยอมอยู่กินกับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 คิดฆ่าผู้ตายเพราะหึงหวงนางสาวพรรณา จึงเป็นเรื่องของจำเลยที่ 1 คนเดียวโดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย ข้อเท็จจริงคงได้ความจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้เตรียมตัดไม้ท่อนซุกซ่อนไว้ในสวนยาง ขณะที่จำเลยที่ 1จอดรถแล้วเกิดชกต่อยกับผู้ตาย จำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 3 ว่าไม้อยู่ที่นั่น จำเลยที่ 3 จึงคว้าไม้ตีผู้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”
พิพากษายืน.

Share