คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนแพอยู่อาศัยเป็นที่สาธารณประโยชน์เรือนแพของจำเลยอยู่ตรงหน้าที่ดินของโจทก์และใกล้ที่ดินของโจทก์ เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยใช้ที่สาธารณประโยชน์ตรงหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิปลูกสร้างกีดขวางการใช้ที่สาธารณประโยชน์หน้าที่ดินของโจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
โจทก์จำเลยจะทำสัญญาเช่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิได้ แต่โจทก์อาจจะยินยอมให้จำเลยทำการกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ได้ และจะตกลงให้สินจ้างแลกเปลี่ยนในการที่โจทก์ยอมสละความสะดวกของตนก็ได้ แต่มิใช่เป็นการเช่า แม้จำเลยจะเคยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกเรือนพิพาท เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าและไม่ยินยอมให้เรือนพิพาทกีดขวางหน้าที่ดินต่อไปจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ไม่ได้ จำเลยต้องรื้อเรือนพิพาทออกไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยได้ซื้อเรือนพิพาทซึ่งเป็นเรือนแพปลูกอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้าที่ดินโจทก์ จำเลยได้เช่าที่ดินตรงที่ปลูกเรือนแพจากโจทก์ตลอดมา ต่อมากรมเจ้าท่าแจ้งว่าที่ดินตรงปลูกเรือนแพเป็นที่สาธารณ โจทก์จะปรับปรุงที่ดินของโจทก์ เรือนแพบังหน้าที่ดินโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าขอให้บังคับจำเลยรื้อเรือนแพออกไป

จำเลยให้การว่า เรือนแพพิพาทได้ปลูกมานานแล้วโดยผู้ปลูกได้เช่าที่ดินที่ปลูกเรือนพิพาทจากโจทก์เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เมื่อจำเลยซื้อเรือนพิพาทแล้ว จำเลยก็เช่าที่ดินปลูกเรือนนี้จากโจทก์เพื่ออยู่อาศัยตลอดมา จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ และปิดปากโจทก์มิให้อ้างว่าเรือนแพของจำเลยกีดขวางการแสวงหาประโยชน์ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อย้ายเรือนแพของจำเลยออกไปจากตอนหน้าที่ดินริมแม่น้ำของโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่นั้น เป็นที่สาธารณประโยชน์ซึ่งราษฎรใช้ร่วมกัน เรือนของจำเลยอยู่ตรงหน้าที่ดินของโจทก์ และอยู่ใกล้ที่ดินของโจทก์ พึงเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยใช้ที่สาธารณประโยชน์หน้าที่ดินของโจทก์เว้นแต่โจทก์จะยินยอม ถ้าโจทก์ไม่ยินยอมก็ถือว่าจำเลยกระทำการมิชอบเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ กรณีนี้จำเลยอ้างว่า เรือนของจำเลยปลูกขึ้นโดยความยินยอมของโจทก์โดยมีสัญญาเช่าต่อกัน และจำเลยอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จำเลยจะทำสัญญาเช่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันนั้นมิได้เพราะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่โจทก์จะยินยอมให้จำเลยทำการกีดขวางหน้าที่ดินของตนได้และจะตกลงให้สินจ้างแลกเปลี่ยนในการที่โจทก์ยอมสละความสะดวกของตนก็ย่อมทำได้ แต่ก็มิใช่เป็นการเช่า ฉะนั้น จำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๆ ไม่ได้และเมื่อโจทก์ไม่ยอมให้สิ่งปลูกสร้างของจำเลยกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ต่อไป จำเลยก็ต้องรื้อถอนไป

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย

Share