แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 3,100 บาท และได้ทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยขอกู้เงินโจทก์อีก 1,400 บาท โจทก์จำเลยขอให้ผู้เขียนสัญญาแก้จำนวนเงินในหนังสือกู้ การเขียนจำนวนเงินกู้เพิ่มลงไปในหนังสือกู้โดยจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในการแก้ไขถือได้ว่าไม่มีหลักฐานลงลายมือชื่อจำเลยจึงใช้ฟ้องร้องบังคับไม่ได้ ส่วนการกู้ครั้งแรกจำนวนเงิน 3,100 บาทนั้น ได้ทำหนังสือกู้และลงลายมือชื่อจำเลยในหนังสือนั้นถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์จำเลยขอให้ผู้เขียนสัญญาแก้จำนวนเงิน การแก้ก็คงไม่มีผลให้ฟ้องร้องจำเลยตามที่แก้นั้นเท่านั้น โจทก์จึงยังคงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามหนังสือกู้ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์ดังเดิม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๒ คราว คือ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๐๒ กู้ไป ๓,๑๐๐ บาทและเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๐๒ กู้ไปอีก ๑,๔๐๐ บาท รวม ๒ คราว เป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาท จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยเป็นหนี้โจทก์ ๔,๕๐๐ บาท แต่ชำระไปแล้ว และโจทก์ได้คืนสัญญากู้ให้จำเลยและตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องนี้เป็นเอกสารปลอม
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงดังฟ้อง จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์เป็นที่สงสัย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๓,๑๐๐ บาท จำเลยได้ทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยขอกู้เงินโจทก์อีก ๑,๔๐๐ บาท โจทก์จำเลยพากันไปหานายนากผู้ใหญ่บ้านให้แก้จำนวนเงินกู้ แต่โจทก์จำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในการแก้ไขจำนวนเงินที่กู้ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคแรกบัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่า ๕๐ บาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องบัคับคดีหาได้ไม่” การเขียนจำนวนเงินกู้เพิ่มลงไปในหนังสือกู้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ในการกู้ครั้งแรกนั้น จำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในการแก้ไขหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในการกู้ครั้งที่สอง ฉะนั้น การกู้ครั้งที่สองจำนวนเงิน ๑,๔๐๐ บาท จึงไม่มีหลักฐานลงลายมือชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้กู้ โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีสำหรับการกู้ครั้งที่สองนี้ไม่ได้ ส่วนการกู้ครั้งแรกจำนวนเงิน ๓,๑๐๐ บาทนั้น ได้ทำหนังสือกู้และลงลายมือชื่อจำเลยในหนังสือนั้นถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์จำเลยไปขอให้นายนากผู้ใหญ่บ้านแก้จำนวนเงิน การแก้ก็คงไม่มีผลให้ฟ้องร้องจำเลยตามที่แก้นั้นเท่านั้น โจทก์จึงยังคงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามหนังสือกู้ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์ดังเดิม
จึงพร้อมกันพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ต้นเงินกู้ ๓,๑๐๐ บาทแก่โจทก์ ดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลแทนโจทก์ ค่าขึ้นศาลให้เสียแทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความสามศาล ๕๐๐ บาทแทนโจทก์.