แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ชำระหนี้ภาษีบำรุงท้องที่ที่จำเลยต้องรับผิดให้แก่โจทก์นั้นหากจำเลยจะมีสิทธิไล่เบี้ยจากเจ้าพนักงานพิทักษ์อย่างใด ก็มิใช่เป็นหนี้เกี่ยวกับภาษีอากร หรือคดีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากร ศาลภาษีอากรไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ของจำเลยที่มีต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าเป็นจำเลยร่วมพระราชบัญญัติ ญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ มาตรา 45(4) กำหนดไว้ว่า ถ้าไม่ชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเวลาที่กำหนดให้เสียเงินเพิ่ม ฯลฯมิได้กำหนดข้อยกเว้นที่ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม ทั้งไม่มีกฎหมายใดกำหนดว่าในระหว่างที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสำหรับภาษีบำรุงท้องที่ ดังนั้น ตราบใดที่จำเลยยังมิได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ก็ต้องรับผิดเงินเพิ่มอยู่จนกว่าจะชำระจะอ้างว่าถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้วไม่ต้องรับผิดเงินเพิ่มหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดินที่จำเลยมีกรรมสิทธิ์สำหรับปี 2529-2531 ให้จำเลยชำระภาษีบำรุงท้องที่รวม 3 ปีเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 153,253.80จำเลยซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเดือนเมษายนของแต่ละปีอ้างว่าในระหว่างนั้นจำเลยได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2529 หน้าที่ชำระภาษีดังกล่าวจึงเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2529 ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ไม่ได้รับการชำระหนี้ภาษีดังกล่าว เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยจึงไม่ตกอยู่ในฐานะบุคคลล้มละลายอีกต่อไป เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2529-2530 ให้จำเลยทราบ ส่วนการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ปี พ.ศ. 2531 ไม่ต้องแจ้งการประเมินใหม่ เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระภาษีบำรุงท้องที่ดังกล่าวภายในกำหนด และมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน จำเลยจึงต้องรับผิดชำระภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2529-2531 จำนวน 153,253.80 บาท แต่จำเลยเพิ่งนำเงินภาษีบำรุงท้องที่จำนวนดังกล่าวไปชำระแก่โจทก์โดยการวางทรัพย์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2531 เป็นการล่วงเลยระยะเวลาที่จำเลยต้องชำระตามกฎหมาย จึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษีในอัตราร้อยละ24 ต่อปี รวมเงินเพิ่มภาษีทั้งสิ้นเป็นเงิน 49,041.22 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่ค้างชำระเป็นเงิน49,041.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ และยื่นคำร้องว่าถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การจัดการทรัพย์สินเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชำระภาษีบำรุงท้องที่ให้โจทก์ จำเลยใช้สิทธิขับไล่เบี้ยต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ขอให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าเป็นจำเลยร่วม
ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนแล้ว เชื่อว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว เป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้องและไม่รับคำให้การจำเลยเมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การโดยชอบจึงไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาสั่งคำร้องที่ให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 49,041.22 บาท ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท แทนโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยประการแรกว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดเป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
อุทธรณ์จำเลยประการที่สองมีว่า ควรเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าเป็นจำเลยร่วมหรือไม่ เห็นว่าเมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ชำระหนี้ภาษีบำรุงท้องที่ที่จำเลยต้องรับผิดให้แก่โจทก์ หากจำเลยจะมีสิทธิไล่เบี้ยจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อย่างใด ก็มิใช่เป็นหนี้เกี่ยวกับภาษีอากรหรือคดีที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรศาลภาษีอากรกลางไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ของจำเลยที่มีต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าเป็นจำเลยร่วม
อุทธรณ์ประการสุดท้ายมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดเงินเพิ่มหรือไม่เห็นว่าตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 45(4)กำหนดไว้ว่าถ้าไม่ชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละยี่สิบสี่ต่อปี ตามมาตรานี้มิได้กำหนดข้อยกเว้นที่ไม่ต้องชำระเงินเพิ่ม เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ ก็ต้องรับผิดในเงินเพิ่มอยู่ตลอดเวลา ทั้งไม่มีกฎหมายใดกำหนดว่าในระหว่างที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสำหรับภาษีบำรุงท้องที่ ฉะนั้นตราบใดที่จำเลยยังมิได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ ก็ต้องรับผิดเงินเพิ่มอยู่จนกว่าจะชำระ จะอ้างเหตุว่าถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ไม่ต้องรับผิดเงินเพิ่มหาได้ไม่ อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน