คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อสัญญาว่า ผู้รับผูกขาดจะต้องชำระเงินค่าผูกขาดล่วงหน้าในปีแรกภายใน 15 วัน นับแต่วันสร้างท่าเทียบเรือเสร็จ ส่วนในปีต่อไปจะต้องชำระค่าผูกขาดภายในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี ดังนี้หมายความว่าค่าผูกขาดสำหรับปีที่ 2 และปีต่อ ๆ ไปจะต้องชำระล่วงหน้าด้วย
โจทก์ให้จำเลยผูกขาดจัดการท่าเทียบเรือ 10 ปี คิดค่าผูกขาดเป็นรายปีจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าผูกขาดปีที่ 2 โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนสิ้นระยะเวลาปีที่ 2 ดังนี้ จำเลยต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งการที่ได้ใช้ท่าเทียบเรือของโจทก์นับแต่เริ่มปีที่ 2 จนถึงวันเลิกสัญญาส่วนระยะเวลาต่อจากนั้น ถ้าจำเลยยังไม่ออกไปจากท่าเทียบเรือของโจทก์โจทก์พึงได้รับค่าเสียหาย
(ข้อแรกวินิจฉัยโดยประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2512)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๔ จำเลยทำสัญญาเช่าผูกขาดจัดการท่าเทียบเรือท่าช้างวังหลวง มีกำหนด ๑๐ ปี โดยมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะต้องสร้างสะพานโป๊ะและดัดแปลงต่อเติมอาคารท่าเทียบเรือ แล้วจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ และเสียค่าผูกขาดให้โจทก์ปีละ ๗๐,๐๐๐ บาทโดยปีแรกต้องชำระเงินค่าผูกขาดล่วงหน้าภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันสร้างเสร็จส่วนปีต่อไปต้องชำระค่าผูกขาดภายในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปีจนกว่าจะครบอายุสัญญา ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์เลิกสัญญาได้ทันที และถ้าผิดสัญญาข้อใดยอมให้โจทก์ริบเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทที่จำเลยวางประกันไว้เป็นค่าเสียหายเบื้องต้นได้ และยอมให้ปรับอีกวันละ ๑๐๐ บาทนับแต่วันผิดสัญญาด้วย ต่อมาจำเลยชำระค่าผูกขาดให้โจทก์เพียงงวดเดียวไม่เคยชำระตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาอีกเลย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระค่าผูกขาดที่ค้าง ๗๐,๐๐๐ บาทภายใน ๗ วัน จำเลยได้รับหนังสือเมื่อ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ แต่ก็ไม่ชำระจึงผิดนัดตั้งแต่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ เป็นต้นมา โจทก์จึงริบเงินประกัน๑๕,๐๐๐ บาท เป็นการหักหนี้ค่าผูกขาดบางส่วน และบอกเลิกสัญญา ให้จำเลยขนย้ายออกไป และให้นำเงินค่าผูกขาดที่ค้างอยู่ ๕๕,๐๐๐ บาท กับค่าปรับมาชำระใน ๗ วัน จำเลยไม่ปฏิบัติตามยังคงครอบครองที่พิพาทอยู่จนถึงวันฟ้องรวม ๓๘๐ วัน ขอให้บังคับให้จำเลยกับบริวารขนย้ายออกจากที่พิพาทแล้วส่งมอบให้โจทก์ ให้ชำระค่าผูกขาดที่ค้าง ๕๕,๐๐๐ บาท และค่าปรับ ๓๘,๐๐๐บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง กับใช้ค่าปรับอีกวันละ ๑๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออก และส่งมอบที่พิพาท
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาเช่าผูกขาดท่าเทียบเรือมีกำหนด ๑๐ ปีตั้งแต่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๔ จริง ตามสัญญาจำเลยต้องชำระค่าเช่าปีละ๗๐,๐๐๐ บาท โดยชำระภายในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี จำเลยไม่เคยผิดนัดจนกระทั่งการเรียกเก็บเงินในระหว่างปี ๒๕๐๗-๒๕๐๘ โจทก์กลับหาเหตุโดยขอให้จำเลยชำระเงินงวดวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ ถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๘เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ไม่อาจใช้สิทธินี้ได้ เพราะจำเลยมีสิทธิชำระได้จนถึงวันสุดท้ายของตุลาคม ๒๕๐๘ จำเลยมิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินประกัน ไม่มีสิทธิปรับและขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกะประเด็นข้อเดียวว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระเงินค่าผูกขาดให้โจทก์จริงหรือไม่ โจทก์จำเลยรับว่าถูกต้อง
ต่อมาคู่ความรับกันว่า
๑. โจทก์จำเลยทำสัญญากันตามสำเนาท้ายฟ้องจริง
๒. โจทก์ได้ผ่อนผันให้จำเลยชำระค่าผูกขาดท่าเทียบเรือ เมื่อเริ่มอายุสัญญาปีแรกเป็นวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๖ ถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๗ เป็นเงิน๗๐,๐๐๐ บาทตามข้อสัญญา และจำเลยได้ชำระค่าผูกขาดปีแรกให้โจทก์แล้วตั้งแต่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๖
๓. ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ ทวงถามค่าผูกขาดงวดระหว่างวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ ถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๘จำเลยได้รับหนังสือแล้ว
๔. โจทก์มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๐๘ บอกเลิกสัญญาและริบเงินประกัน จำเลยได้รับหนังสือแล้ว โจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่าตามสัญญาโจทก์ถือว่าจำเลยจะต้องชำระค่าผูกขาดงวดวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ ถึง๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๘ ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๐๗ จำเลยว่าต้องชำระภายในเดือนตุลาคม ๒๕๐๘ เรื่องเบี้ยปรับวันละ ๑๐๐ บาท โจทก์ไม่สืบพยาน และจำเลยรับว่าค่าผูกขาดงวดวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ ถึง ๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๘จำเลยยังไม่ได้ชำระ
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย และพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สิ่งของออกจากที่พิพาทแล้วส่งมอบให้โจทก์ ให้ชำระค่าผูกขาดที่ค้าง ๕๕,๐๐๐ บาท และค่าปรับตั้งแต่วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๘ถึงวันฟ้อง ๑๑,๙๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามขอ กับให้ใช้ค่าปรับอีกวันละ๑๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกและส่งมอบที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การตีความสัญญาข้อ ๑ เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องวินิจฉัยความในข้อ ๑ นี้มีว่า “ผู้ให้ผูกขาดตกลงให้และผู้รับผูกขาดตกลงยอมรับผูกขาดจัดการท่าเทียบเรือท่าช้างวังหลวงฯ มีกำหนดสิบปีนับแต่วันที่๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๔ ถึง ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๔ คิดค่าผูกขาดปีละ ๗๐,๐๐๐ บาทโดยผู้รับผูกขาดจะต้องชำระเงินค่าผูกขาดล่วงหน้าในปีแรกเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันสร้างเสร็จ ส่วนในปีต่อไปผู้รับผูกขาดจะต้องชำระค่าผูกขาดภายในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี” มีปัญหาว่า ในปีต่อไปคือปีที่ ๒และต่อ ๆ ไปนั้น จำเลยจะต้องชำระค่าผูกขาดล่วงหน้าเช่นเดียวกับค่าผูกขาดปีแรกด้วยหรือไม่ ได้พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วมีมติว่าจำเลยจะต้องชำระล่วงหน้าด้วย เพราะข้อความที่เกี่ยวกับค่าผูกขาดปีแรกได้ระบุไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่าเป็นเงินค่าผูกขาดล่วงหน้า เมื่อกล่าวถึงค่าผูกขาดในปีต่อ ๆ ไป จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำอีก แต่ละไว้ในที่เข้าใจว่าเป็นค่าผูกขาดล่วงหน้าเช่นเดียวกับค่าผูกขาดปีแรก จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระภายในเดือนตุลาคม ๒๕๐๗ จำเลยไม่ชำระ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยนำเงินไปชำระ เมื่อจำเลยไม่ชำระภายในกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิเลิกสัญญาเสียได้ดังที่ได้แจ้งให้จำเลยทราบตามหนังสือลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๐๘ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วจำเลยจึงต้องส่งมอบท่าเทียบเรือคืนโจทก์กับต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งการที่ได้ใช้ท่าเทียบเรือของโจทก์นับแต่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ จนถึงวันที่ ๑๑ มกราคม๒๕๐๘ ซึ่งเป็นวันเลิกสัญญา ค่าผูกขาดตลอดปีเป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทระยะเวลา๑๔๖ วัน จึงควรได้ ๒๘,๐๐๐ บาท ส่วนระยะเวลานับแต่เลิกสัญญาแล้วและจำเลยยังไม่ออกไปจากท่าเทียบเรือนั้น โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นอย่างอื่น จึงควรได้รับค่าเสียหายวันละ ๑๐๐ บาท เท่ากับเบี้ยปรับที่ตกลงกันไว้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระค่าผูกขาดทั้งปีแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เบี้ยปรับวันละ ๑๐๐ บาทที่ศาลล่างให้ชำระตั้งแต่วันที่ ๑๙สิงหาคม ๒๕๐๘ เป็นต้นไปนั้น โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคงให้เป็นไปตามนั้น
พิพากษาแก้เฉพาะค่าผูกขาดที่ค้างเป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าผูกขาด๑๔๖ วันเป็นเงิน ๒๘,๐๐๐ บาท เมื่อหักกับเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ริบไว้แล้วคงให้จำเลยชำระค่าผูกขาดอีก ๑๓,๐๐๐ บาท

Share