คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6488/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองเป็นบริษัทจำกัดในเครือเดียวกันโดยประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมประเภทผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นบริษัทมหาชน จำกัด และบริษัทจำกัดทำกิจการร่วมกันประเภทการพัฒนาที่ดิน ปลูกสร้างอาคารและที่อยู่อาศัยจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการบริหารฝ่ายจัดซื้อของจำเลยที่ 1 และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 3 ธุรกิจของฝ่ายโจทก์และจำเลยมิได้มีความเกี่ยวข้องหรือต้องสัมพันธ์กัน ทั้งเครื่องปรับอากาศก็ไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีประจำอาคารแต่เป็นเพียงเครื่องใช้อย่างหนึ่งที่ติดตั้งขึ้นเพื่อความสบายในความเป็นอยู่ซึ่งจะมีหรือไม่ก็ได้ การค้าหรืออุตสาหกรรมของโจทก์จึงมิได้ทำขึ้นเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 และที่ 3สิทธิเรียกร้องของโจทก์ทั้งสองในหนี้สินดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองต่างเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยเป็นบริษัทในเครือซึ่งทำกิจการค้าขายร่วมกัน มีโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ผลิตส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการบริหารฝ่ายจัดซื้อของจำเลยที่ 1กับเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 3 ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2537ถึงเดือนสิงหาคม 2538 จำเลยทั้งสามโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและฐานะกรรมการจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศคอนเดนซิ่ง แฟนคอล์ย รีโมท พร้อมอุปกรณ์จากโจทก์ทั้งสองรวม 25 ครั้งเป็นราคาทั้งสิ้น 1,690,445.48 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 7คิดเป็นเงิน 118,331.18 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 1,808,776.66 บาทจำเลยทั้งสามได้รับสินค้าครบถ้วนแล้วเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยทั้งสามแต่ไม่ชำระราคาพร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองภายใน45 วันนับแต่วันได้รับสินค้าตามที่ตกลงกัน โจทก์ทั้งสองทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย และโจทก์ทั้งสองขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีของราคาสินค้าแต่ละครั้งนับแต่วันครบกำหนดชำระเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน400,203.45 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินทั้งสิ้นจำนวน2,208,980.11 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของเงินจำนวน2,208,980.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การว่า ปัจจุบันนายสมบูรณ์ศรีบุศกรณ์ และนางศศิธร ศรีบุศกรณ์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเป็นคนละนิติบุคคลและไม่ได้ทำกิจการค้าร่วมกันจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นกรรมการจำเลยที่ 1 แต่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ทั้งสองแต่มีนิติบุคคลผู้มีชื่อดำเนินการติดต่อกับโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวไม่เคยได้รับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสามไม่ได้สั่งซื้อและรับสินค้าตามฟ้องข้อ 3 อันดับที่ 7 ถึง 22 จึงไม่ต้องรับผิดชำระราคาสินค้าส่วนนี้ส่วนสินค้าตามฟ้องข้อ 3 อันดับที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 23 ถึง 25 นิติบุคคลผู้มีชื่อสั่งซื้อจากโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้รับสินค้าครบถ้วน แต่ชำระราคาให้โจทก์ที่ 1 เฉพาะสินค้าลำดับที่ 23 ถึง 25 ส่วนสินค้าลำดับที่ 1ถึงที่ 6 ชำรุดบกพร่อง โจทก์ที่ 1 ได้รับแจ้งแล้วไม่ซ่อมแซมแก้ไขให้จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องชำระราคาสินค้า ลำดับที่ 1 ถึงที่ 6 ให้โจทก์ที่ 1สิทธิเรียกร้องราคาสินค้าตามฟ้องข้อ 3 อันดับที่ 1 ถึงที่ 16 ขาดอายุความแล้วเพราะโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเรียกร้องราคาสินค้าส่วนนี้เกิน 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) โจทก์ทั้งสองคิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง โจทก์ทั้งสองไม่เคยทวงถามจำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน1,250,153.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน148,696.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความรับกันและมิได้โต้เถียงกันว่า โจทก์ทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดในเครือเดียวกันโดยทำกิจการผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และบริษัทจำกัด ทำกิจการร่วมกันประเภทการพัฒนาที่ดินปลูกสร้างอาคารและที่อยู่อาศัยจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการบริหารฝ่ายจัดซื้อของจำเลยที่ 1 และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 3 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่าโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งสองมีนายสมบูรณ์ ศรีบุศกรณ์เป็นพยานเบิกความว่าพยานเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์แต่ละคนได้ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการ เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้นำสืบโต้แย้งความถูกต้องแท้จริงย่อมรับฟังได้ หาจำต้องนำเจ้าพนักงานผู้ทำเอกสารมายืนยันไม่ ฎีกาจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการที่สองว่าจำเลยทั้งสามได้สั่งซื้อสินค้าเครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์จากโจทก์ทั้งสองแล้วไม่ชำระราคาและภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ สำหรับกรณีของจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 148,696.83บาท แม้จำเลยที่ 2 จะฎีการวมกันมากับจำเลยอื่น ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาก็ต้องแยกกันตามจำนวนที่แต่ละคนต้องรับผิด เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าพยานโจทก์ทั้งสองรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ทั้งสองนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเฉพาะกรณีจำเลยที่ 1และที่ 3 โจทก์มีนายสมบูรณ์ ศรีบุษกรณ์ กรรมการโจทก์ทั้งสองมาเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นลูกค้าโจทก์ทั้งสองมา 4-5 ปีแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องไปติดตั้งไว้ที่โครงการของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฝ่ายจำเลยมีนายวรเลิศ เลิศเมตตา ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 1 และที่ 3 เบิกความว่า สินค้าบางรายไม่พบใบสั่งซื้อ ซึ่งไม่ใช่คำปฏิเสธว่าไม่ได้รับสินค้าของโจทก์ทั้งสองไว้ และยังได้เบิกความว่าสินค้าบางรายการชำรุดบกพร่องซึ่งเท่ากับยอมรับว่าได้รับมอบสินค้าของโจทก์ทั้งสองจริง ข้ออ้างที่ว่าสินค้าชำรุดบกพร่องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3ได้ส่งคืนหรือโต้แย้งสงวนสิทธิไว้แต่อย่างใด เมื่อชั่งน้ำหนักคำพยานแล้วฝ่ายโจทก์มีน้ำหนักมากกว่า เชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งสองส่งมอบสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จริง และจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมิได้ชำระราคาแก่โจทก์ทั้งสอง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่าสินค้ารายการที่ 1 ถึง 16 ตามเอกสารหมาย จ.70 ขาดอายุความตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 3ฎีกาหรือไม่ เห็นว่า การประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมของโจทก์ทั้งสองเป็นประเภทผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3ประกอบการค้าประเภทพัฒนาที่ดิน ปลูกสร้างอาคารและที่อยู่อาศัยจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ธุรกิจสองประเภทนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องหรือต้องสัมพันธ์กันแต่อย่างใด ทั้งเครื่องปรับอากาศก็ไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีประจำอาคาร แต่เป็นเพียงเครื่องใช้อย่างหนึ่งที่ติดตั้งขึ้นเพื่อความสบายในความเป็นอยู่ซึ่งจะมีหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น การค้าหรืออุตสาหกรรมของโจทก์จึงมิได้ทำขึ้นเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 และที่ 3อันจะตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง สิทธิเรียกร้องของโจทก์ทั้งสองในหนี้สินดังกล่าวจึงมีอายุความ2 ปี เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองส่งมอบสินค้าทั้ง 16 รายการรวมจำนวนเงิน807,926.17 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ครั้งสุดท้ายวันที่ 7 เมษายน2537 และตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.21 ถึง จ.23 จ.26 ถึง จ.29 จ.32จ.33 และ จ.42 กำหนดให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระเงินในวันที่ 6 พฤษภาคม2537 โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้ชำระเงินวันที่ 20 พฤษภาคม 2539เกินกว่า 2 ปีแล้ว จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(1) คงเหลือหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังไม่ได้ชำระคือหนี้ตามรายการที่ 17, 18 และ 22 ของเอกสารหมาย จ.70 เป็นเงิน 442,301.92บาท ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 442,301.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share