คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6477/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรจากการให้บริการทำธุรกรรมทางด้านการเงินและรับฝากเงิน เงินที่จำเลยที่ 1 รับฝากไว้จากโจทก์ จำเลยที่ 1 สามารถที่จะนำเงินออกไปใช้แสวงหาประโยชน์อย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือขอความเห็นชอบจากผู้ฝาก เพียงแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้ครบจำนวนตามกำหนดเวลาเท่านั้น และมีอำนาจหรือสิทธิตัดสินใจในการบริหารเงินที่รับฝากไว้ตามกิจการของตนเองได้โดยลำพัง จำเลยที่ 1 จึงมิได้มีฐานะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของโจทก์ตามความหมายแห่ง ป.อ. มาตรา 353 ดังนั้น หากโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเงินฝากกับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมทางด้านการเงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง โจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ 1 ในทางแพ่งเท่านั้น
ข้อหาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม… เป็นบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ อีกทั้งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม อันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีเสร็จการไต่สวนมูลฟ้อง แต่ก่อนอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 อ้างว่าเป็นเอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นใหม่ภายหลัง โจทก์ไม่อาจอ้างได้ก่อนในวันนัดไต่สวนครั้งสุดท้าย ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องและนำพยานมาสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว พยานเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมจึงมิใช่เอกสารสำคัญที่จะทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดผลคดีให้เปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ของโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 354 ประกอบมาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9), 44 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 103,321.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าฟ้องโจทก์มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไร จากการให้บริการการทำธุรกรรมทางด้านการเงินและรับฝากเงิน เงินที่จำเลยที่ 1 รับฝากไว้จากโจทก์หรือบุคคลทั่วไป จำเลยที่ 1 สามารถที่จะนำเงินดังกล่าวออกไปใช้แสวงหาประโยชน์อย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือขอความเห็นชอบจากผู้ฝาก เพียงแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้ครบจำนวนตามกำหนดเวลาเท่านั้น จำเลยที่ 1 มีอำนาจหรือสิทธิตัดสินใจในการบริหารเงินที่รับฝากไว้ตามกิจการของตนเองได้โดยลำพัง จึงมิได้มีฐานะเป็นผู้แทนหรือตัวแทนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของโจทก์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 หากโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเงินฝากกับจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยการเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ตั้งแต่วันที่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 หักกลบลบหนี้ และจำเลยที่ 1 ไม่จ่ายเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายโดยอ้างว่าเงินในบัญชีของโจทก์ไม่พอจ่าย และแจ้งให้ผู้ทรงติดต่อกับผู้สั่งจ่ายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดข้อโต้แย้งจากการทำธุรกรรมทางด้านการเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถือเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ซึ่งโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ 1 ในทางแพ่งเท่านั้น สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามที่ได้รับมอบหมาย และต่างไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ในฐานะเป็นตัวแทนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้าเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่มีมูลในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์มีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 12 (9) หรือไม่ เห็นว่า ข้อหาการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตราดังกล่าวบัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดทอนทางเศรษฐกิจ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ อีกทั้งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม อันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่มีมูลความผิดสำหรับข้อหานี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ของโจทก์ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างพิจารณาคดี โจทก์ใช้สิทธิยื่นบัญชีระบุพยานและยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมอีก 4 ครั้ง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตรับบัญชีพยานของโจทก์ทุกครั้ง จนกระทั่งเสร็จสิ้นการไต่สวนมูลฟ้อง แต่ก่อนอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอีกเป็นครั้งที่ 5 ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการขออ้างส่งหนังสือแจ้งการหักเงินฝากเพื่อชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่าเป็นเอกสารที่จำเลยกับพวกจัดทำขึ้นใหม่ภายหลัง โจทก์ไม่อาจอ้างได้ก่อนในวันนัดไต่สวนนัดสุดท้าย เอกสารที่โจทก์ขอระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าว เป็นเอกสารที่มีรายละเอียดระบุถึงการหักเงินฝากตามบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องและนำพยานมาสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว พยานเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติม มิใช่เอกสารสำคัญที่จะวินิจฉัยชี้ขาดผลแห่งคดีให้เปลี่ยนแปลงไปตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 5 ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ส่วนนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share