แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ครั้งแรกจำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยอ้างว่าพยานไปงานแต่งงานญาติที่จังหวัดนครปฐมศาลสั่งให้เลื่อนคดีไปแต่ในการนัดสืบพยานนัดต่อมาจำเลยขอเลื่อนคดีอีกเป็นครั้งที่สองอ้างว่าพยานไปโอนที่ดินที่จังหวัดนครนายกศาลชั้นต้นก็ได้พิจารณาผ่อนผันอนุญาตให้เลื่อนคดีไปในการพิจารณาคดีต่อมาจำเลยกลับขอเลื่อนคดีอีกเป็นครั้งที่สามอ้างว่าพยานป่วยโดยมิได้อ้างเหตุผลว่าป่วยจนถึงกับไม่สามารถมาศาลได้อย่างไรอันเป็นเหตุผลตามกฎหมายในข้อที่ว่าไม่อาจก้าวล่วงเสียได้อย่างไรนอกจากนี้จำเลยไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไรตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา40วรรคหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อที่จำเลยไม่อ้างเหตุขอเลื่อนคดีให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวประกอบกับคำแถลงของทนายจำเลยในนัดที่ขอเลื่อนคดีครั้งที่สองว่าหากจำเลยไม่นำพยานมาศาลในการพิจารณานัดต่อไปถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานด้วยแล้วจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีต่อไปได้ จำเลยอ้างว่าโจทก์ค้างชำระค่าจอดรถเดือนละ5,000บาทปรากฎว่าโจทก์เคยเจรจากับจำเลยแล้วว่าจะไม่จ่ายค่าเช่าส่วนนี้เพราะเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนที่จำเลยไม่ให้โจทก์ใช้ถนนหน้าโกดังเป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าหนี้ที่จำเลยอ้างดังกล่าวโจทก์ได้โต้แย้งและไม่ยอมรับสิทธิเรียกร้องที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงเป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่เป็นหนี้ที่ยังไม่แน่นอนจำเลยจะนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยมิได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา344
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2528 และวันที่1 สิงหาคม 2528 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าโกดังและสำนักงานของจำเลยเลขที่ 87/43-44 ในการเช่าจำเลยให้โจทก์วางเงินประกันการเช่าโกดัง 288,492 บาท และวางเงินมัดจำการเช่าสำนักงานอีก55,902 บาท รวมเป็นเงิน 344,394 บาท จำเลยรับว่าจะคืนให้โจทก์เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงหรือสัญญาเช่าเลิกกัน และโจทก์ได้จัดการชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วจำเลยยอมให้โจทก์ไม่ต้องชำระค่าเช่าสำนักงานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2532ถึงเดือนมีนาคม 2533 คิดเป็นเงินค่าเช่า 88,000 บาท และไม่ต้องชำระค่าเช่าโกดังประจำเดือนมีนาคม 2533 เป็นเงิน 56,082 บาทรวมค่าเช่าที่ไม่ต้องชำระจำนวน 144,082 บาท โดยจำเลยให้โจทก์นำเงินค่าเช่าไปหักจากเงินประกันและเงินมัดจำที่อยู่ที่จำเลยจึงเหลือเงินประกันและเงินมัดจำอยู่กับจำเลย 200,312 บาท ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2533 จำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ส่งมอบสถานที่เช่าทั้งหมดคืนภายในวันที่ 31 มีนาคม 2533 โจทก์ได้ปฏิบัติตามหนังสือเรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนเงินประกันและเงินมัดจำ 200,312 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่คืนขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 225,351 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงิน 200,312 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ก่อหนี้ขึ้นระหว่างสัญญาเช่าเป็นเงิน176,600 บาท เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้ถือว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าโกดังข้อ 14 และสัญญาเช่าสำนักงาน ข้อ 14 จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ชำระหนี้แล้วโดยเอามาหักกลบลบหนี้กัน แต่โจทก์เพิกเฉยจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันและเงินมัดจำแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,312 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2533จนถึงก่อนวันฟ้องและให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานจำเลยที่เหลือ จึงให้งดสืบพยานจำเลยนั้นชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่เห็นว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีมา 2 ครั้ง แล้ว โดยครั้งแรกจำเลยอ้างว่าพยานไปงานแต่งงานญาติที่จังหวัดนครปฐม การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีครั้งแรกไปแล้วจำเลยจะมาขอเลื่อนคดีครั้งต่อไปอีกไม่ได้เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และจำเลยจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม ศาลจึงจะสั่งให้เลื่อนคดีไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งแต่ในการนัดสืบพยานนัดต่อมาจำเลยขอเลื่อนคดีอีกเป็นครั้งที่สองอ้างว่าพยานไปโอนที่ดินที่จังหวัดนครนายก โดยจำเลยมิได้อ้างเหตุผลตามข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ได้พิจารณาผ่อนผันอนุญาตให้เลื่อนคดีไป ในการพิจารณาคดีต่อมาจำเลยกลับขอเลื่อนคดีอีกเป็นครั้งที่สามอ้างว่าพยานป่วย โดยมิได้อ้างเหตุผลว่าป่วยจนถึงกับไม่สามารถมาศาลได้อย่างไร อันเป็นเหตุผลตามกฎหมายในข้อที่ว่าไม่อาจก้าวล่วงเสียได้อย่างไรนอกจากนี้จำเลยไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไรตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อที่จำเลยไม่อ้างเหตุขอเลื่อนคดีให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว ประกอบกับคำแถลงของทนายจำเลยในนัดที่ขอเลื่อนคดีครั้งที่สองว่าหากจำเลยไม่นำพยานมาศาลในการพิจารณานัดต่อไปถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานด้วยแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีต่อไปได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนการพิจารณาคดีชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับโจทก์หรือไม่นั้นได้ความจากนางสาวอรวรรณ วรนิจ พยานโจทก์ว่าขณะที่โจทก์เช่าห้อง สำนักงานยังสร้างไม่เสร็จ จำเลยได้ทาสีให้ ชื่อบริษัทที่โจทก์เขียนติดไว้ที่ผนังโกดังจำเลยขอให้ลบออก โจทก์ได้ลบออกแล้ว โจทก์มิได้ทำให้อาคารสำนักงานเสียหาย ก่อนติดเครื่องปรับอากาศสำนักงาน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วโจทก์ได้ขอติดตั้งป้ายชื่อบริษัทโจทก์ตรงหัวมุมตึกแถวเพื่อให้ลูกค้ามองเห็น จำเลยอนุญาตแล้ว โดยมีการตกลงกันให้จ่ายค่าติดตั้งดังกล่าวปีละ 10,000 บาท โจทก์ได้จ่ายเรียบร้อยแล้วส่วนที่จอดรถจำเลยได้ถมที่ต่อจากถนนให้โจทก์ใช้เป็นที่จอดรถแทนการจอดรถบนถนนหน้าโกดัง ที่จำเลยอ้างเอกสารหมาย จ.6 ว่าโจทก์ค้างชำระค่าจอดรถเดือนละ 5,000 บาท นั้นโจทก์เคยเจรจากับจำเลยแล้วว่าจะไม่จ่ายค่าเช่าส่วนนี้เพราะเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนที่จำเลยไม่ให้โจทก์ใช้ถนนหน้าโกดัง แล้วไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอีก โดยพยานสรุปคำเบิกความว่าโจทก์ไม่ได้ค้างชำระค่าใช้จ่ายตามสัญญา เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าหนี้ที่จำเลยอ้างดังกล่าวโจทก์ได้โต้แย้งและไม่ยอมรับสิทธิเรียกร้องที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงเป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่เป็นหนี้ที่ยังไม่แน่นอน จำเลยจะนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยมิได้ตามนับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 เมื่อโจทก์ส่งมอบโกดังและสำนักงานที่เช่าจากจำเลยให้แก่จำเลยและจำเลยรับมอบไว้โดยชอบแล้ว จำเลยจึงจำต้องคืนเงินประกันและเงินมัดจำในส่วนที่เหลือจากการหักค่าเช่าให้โจทก์ตามสัญญาเอกสารหมายจ.4 จ.5 ข้อ 14 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน