คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6475/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลออกหมายค้นบ้านของจำเลยโดยระบุเลขที่บ้านเป็นเลขที่ 74 ตามที่เจ้าพนักงานตำรวจร้องขอแล้ว ร้อยตำรวจเอก ก. แก้เลขที่บ้านในหมายค้นเป็นเลขที่ 161 เพื่อให้ตรงกับความจริงโดยไม่มีอำนาจ อันอาจมีผลให้หมายค้นเสียไปและการค้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เมื่อปรากฏว่าคดีมีการสอบสวนกันโดยชอบทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็นำสืบยอมรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางฝังอยู่ในดินห่างจากบ้านของจำเลยประมาณ 3 เมตร จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5)ฯ มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และ 67 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในบทความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน ดังนั้น กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ส่วนกำหนดโทษตามมาตรา 67 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้ จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 15, 26, 66, 67, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง จำคุก 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเกี่ยวกับความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง และจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้แต่ละฐานความผิดหนึ่งในสามและกึ่งหนึ่งตามลำดับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง 2 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบเฮโรอีนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องร้อยตำรวจเอกกัมปนาท พิทักษ์เดชา กับพวกจับกุมจำเลยและยึดได้เฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 5 หลอด หนัก 5.339 กรัม กับอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน กท.3610103 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 9 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นที่จำเลยมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกกัมปนาทกับจ่าสิบตำรวจธีรยุทธ เพชรศรี เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ค้นพบเฮโรอีนของกลางบรรจุถุงพลาสติกฝังอยู่ในดินห่างบ้านของจำเลยประมาณ 3 เมตร ขณะพบถุงพลาสติกดังกล่าวจำเลยจะวิ่งหลบหนี แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยไว้ได้ทัน ร้อยตำรวจเอกกัมปนาทสอบถามจำเลยเกี่ยวกับเฮโรอีนของกลาง จำเลยรับว่าเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความตามความจริง เฮโรอีนของกลางฝังซุกซ่อนอยู่ในที่ดินของจำเลยห่างบ้านของจำเลยเพียงประมาณ 3 เมตร ไม่น่าจะมีบุคคลอื่นนำไปซุกซ่อนไว้ ขณะพบถุงพลาสติกซึ่งบรรจุเฮโรอีนของกลาง จำเลยก็แสดงอาการพิรุธโดยพยายามที่จะวิ่งหลบหนี ชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ทั้งยังได้เขียนคำรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ทั้งยังได้เขียนคำรับสารภาพมอบให้ร้อยตำรวจเอกกัมปนาทกับพวกไว้อีกด้วยตามบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.4 พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยนำสืบว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย และที่นางสาย๊ะ นุ้ยเด็น ภริยาจำเลยเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 4 นาฬิกา พยานเห็นชายแปลกหน้ามาก้มๆ เงยๆ ตรงบริเวณที่เกิดเหตุทำนองว่า ชายแปลกหน้าคนดังกล่าวนำเฮโรอีนของกลางมาซุกซ่อนไว้นั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เบิกความถึงเรื่องดังกล่าว ทั้งที่นางสาย๊ะเบิกความว่าได้เรียกจำเลยซึ่งนอนอยู่ให้ลุกขึ้นมาดู และจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า 2 นัด ขณะชายแปลกหน้าวิ่งหลบหนีจึงเป็นพิรุธอยู่ ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเพราะเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายและขู่ว่าจะจับกุมภริยาจำเลยด้วยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจคนใดเป็นผู้ทำร้ายร่างกายและขู่จำเลยทั้งตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.7 จำเลยให้การเพียงว่า เหตุที่จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเนื่องจากเกรงว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมคนในครอบครัวด้วยเท่านั้น ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเข้าตรวจค้นร้อยตำรวจเอกกัมปนาทได้แก้หมายค้นเอกสารหมาย จ.1 จากบ้านเลขที่ 74 เป็นบ้านเลขที่ 161 โดยไม่มีอำนาจแก้ไข การค้นจึงไม่ชอบ ไม่สามารถเอาผิดแก่จำเลยได้นั้น เมื่อพิจารณาตามหมายค้นเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จะเห็นได้ว่าศาลออกหมายค้นบ้านของจำเลยโดยระบุเลขที่บ้านเป็นเลขที่ 74 ตามที่เจ้าพนักงานตำรวจร้องขอ การที่ร้อยตำรวจเอกกัมปนาทแก้เลขที่บ้านในหมายค้นเป็นเลขที่ 161 เพื่อให้ตรงกับความจริงโดยไม่มีอำนาจ อันอาจมีผลให้หมายค้นเสียไปและการค้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เมื่อปรากฏว่าคดีมีการสอบสวนกันโดยชอบทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็นำสืบยอมรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางฝังอยู่ในดินห่างจากบ้านของจำเลยประมาณ 3 เมตร จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เห็นว่า นอกจากจำเลยจะกระทำความผิดฐานดังกล่าวแล้ว จำเลยยังกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วยจึงไม่สมควรรอการลงโทษ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และ 67 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในบทความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน ดังนั้น กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ส่วนกำหนดโทษตามมาตรา 67 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share