คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6382/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้คำรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ที่รับต่อ ส. ผู้ใหญ่บ้านว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ลักตัดต้นพลวงของผู้เสียหายและเอาไม้ไปจะมีลักษณะเป็นคำซัดทอดหากคำซัดทอดนั้นมีเหตุผล ศาลย่อมรับฟังคำซัดทอดประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้และคำซัดทอดของจำเลยที่ 3 ในกรณีนี้พาไปสู่การได้ไม้ของกลางที่ซุกซ่อนอยู่ในหนองน้ำห้วยพรมคืน นับว่าเป็นคำซัดทอดที่มีเหตุผล ศาลย่อมใช้รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 3
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 336 ทวิ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 336 ทวิ ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี 6 เดือน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายลักตัดเอาไม้พลวง 3 ต้น ของนางสำเนียง วิเวกสระน้อย ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต่อมาในวันที่ 14 ธันวาคม 2539 ผู้เสียหายพบไม้ของกลางซุกซ่อนอยู่ในห้วยและชาวบ้านช่วยกันงมขึ้นมาได้ 2 ท่อน อีก 1 ท่อน ยังงมขึ้นมาไม่ได้เพราะมีขนาดใหญ่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายพรม รุมพรสระน้อย และนายช้อย ขอดกิ่ง เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าในขณะเกิดเหตุนายพรมและนายช้อยเห็นจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์ชัย พันธ์สำโรง และนายประสิทธิ์ พันธ์สำโรง ขับรถไถนาลากจูงรถสาลี่บรรทุกท่อนไม้ 3 ท่อน ออกจากไร่ยูคาลิปตัสของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 3 เป็นคนขับ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน นายพรมและนายช้อยต่างรู้จักกับจำเลยทั้งสามและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสามมาก่อน คำเบิกความของนายพรมและนายช้อยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ แม้ว่าในขณะเกิดเหตุนายพรมซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับจำเลยทั้งสามจะมิได้พูดทักทายกับจำเลยทั้งสามและไม่ได้เล่าเรื่องที่พบเห็นเหตุการณ์ให้ผู้เสียหายทราบก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะนายพรมเห็นว่าจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์ชัยและนายประสิทธิ์ต่างเป็นญาติพี่น้องกับผู้เสียหาย อาจมีการซื้อขายไม้กันดังที่นายพรมได้เบิกความตอนตอบโจทก์ถามติงเอาไว้ซึ่งนับว่ามีเหตุผลรับฟังได้ นอกจากนี้โจทก์มีผู้เสียหายกับนายสะอาด โคกเกษม ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นพยานคนกลางมาเบิกความสนับสนุนว่า ภายหลังเมื่อผู้เสียหายทราบจากนายพรมและนายช้อยว่าจำเลยทั้งสามลักตัดต้นพลวงของผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายไปสอบถามจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 รับว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นายศักดิ์และนายประสิทธิ์ลักตัดต้นพลวงของผู้เสียหายไปจริงและนำท่อนไม้ที่ลักตัดไปซุกซ่อนไว้ในห้วยพรมซึ่งเป็นหนองน้ำ ผู้เสียหายจึงพาจำเลยที่ 3 ไปพบนายสะอาด จำเลยที่ 3 รับสารภาพต่อหน้านายสะอาดว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นายศักดิ์ชัยและนายประสิทธิ์ลักตัดต้นพลวง 3 ต้น ของผู้เสียหายแล้วนำไปซุกซ่อนไว้ในห้วยพรม จากนั้นนายสะอาดให้จำเลยที่ 3 และชาวบ้านช่วยกันงมไม้ของกลาง ปรากฏว่าพบไม้ 3 ท่อน แต่งมขึ้นมาได้ 2 ท่อน อีก 1 ท่อน ยังนำขึ้นมาไม่ได้เพราะมีขนาดใหญ่มากและอยู่ลึก จากคำเบิกความของผู้เสียหายและนายสะอาดสอดคล้องเชื่อมโยงรับกับคำเบิกความของนายพรมและนายช้อย ตั้งแต่ต้นพลวงของผู้เสียหายถูกลักตัดออกจากไร่ยูคาลิปตัสจนกระทั่งผู้เสียหายได้ไม้ของกลางคืน พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายลักตัดเอาไม้ของกลางผู้เสียหายไป พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายลักตัดเอาไม้ของกลางผู้เสียหายไป พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสามไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาวา คำรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ที่รับต่อนายสะอาดว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ลักตัดต้นพลวงของผู้เสียหายไปนั้นเกิดจากการถูกนายพรมและนายรวยข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย และบอกว่าถ้าจำเลยที่ 3 รับสารภาพจะให้ไก่ 1 ตัว กับสุรา 1 ขวดนั้น จำเลยทั้งสามไม่ได้ถามค้านนายพรมไว้ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยทั้งสามจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่านายช้อยเบิกความว่า ไม่มีความคุ้นเคยกับจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์ชัยและนายประสิทธิ์ มาทราบภายหลังเมื่อนายพรมบอก ไม่ทราบว่าทั้งห้าคนเกี่ยวพันเป็นญาติพี่น้องกันหรือไม่ นายช้อยไม่เคยไปมาหาสู่กับบุคคลทั้งห้าแสดงว่านายช้อยไม่ทราบว่าผู้ที่อยู่ในรถบรรทุกไม้จะเป็นใคร มาทราบภายหลังเมื่อนายพรมบอกว่าเป็นจำเลยทั้งสาม คำเบิกความของนายช้อยจึงเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้นั้น นายช้อยตอบโจทก์ถามติงว่า รู้จักจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์และนายประสิทธิ์แต่ไม่สนิทกัน เมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความดังกล่าวแล้วมีความหมายว่านายช้อยรู้จักจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์ชัยและนายประสิทธิ์แต่ไม่สนิทสนมกัน นายช้อยทราบจากนายพรมในภายหลังว่าจำเลยทั้งสาม นายศักดิ์และนายประสิทธิ์เป็นญาติพี่น้องกัน ดังนั้น คำเบิกความของนายช้อยจึงไม่เลื่อนลอย สำหรับที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คำเบิกความของนายพรมและนายช้อยมีพิรุธ โดยกล่าวหาว่านายประสิทธิ์ร่วมกระทำความผิดด้วยแต่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมายกฟ้องนายประสิทธิ์นั้น แม้ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมาจะพิพากษายกฟ้องนายประสิทธิ์ก็เป็นเพียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลดังกล่าวในการพิจารณาคดีซึ่งไม่มีผลผูกพันให้ศาลฎีกาจำต้องถือตาม และที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คำซัดทอดของจำเลยที่ 3 ไม่อาจรับฟังได้นั้น แม้คำรับสารภาพของจำเลยที่ 3 ที่รับต่อนายสะอาดผู้ใหญ่บ้านว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ลักตัดต้นพลวงของผู้เสียหายและเอาไม้ไปจะมีลักษณะเป็นคำซัดทอด หากคำซัดทอดนั้นมีเหตุผลศาลย่อมรับฟังคำซัดทอดประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ และคำซัดทอดของจำเลยที่ 3 ในกรณีนี้พาไปสู่การได้ไม้ของกลางที่ซุกซ่อนอยู่ในหนองน้ำห้วยพรมคืน นับว่าเป็นคำซัดทอดที่มีเหตุผล ศาลย่อมใช้รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share