คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4920/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลย และ ร. เป็นเจ้าของรวมในที่ดิน แต่ละคนย่อมมีสิทธิใช้สอยที่ดินดังกล่าวได้แต่ต้องไม่ขัดสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ และเจ้าของรวมคนหนึ่ง จะจำหน่ายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนก็ได้ การที่จำเลยนำโฉนดที่ดินไปให้บุคคลอื่นยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ย่อมขัดต่อสิทธิของโจทก์ จำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น จำเลยย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการนำโฉนดที่ดินมาเพื่อมอบแก่โจทก์จนได้ กรณีไม่ใช่สภาพหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ และการโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่ ร. ไม่ใช่กรณีที่โจทก์จะสามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยโดยโจทก์จะสามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยโดยโจทก์ไม่ต้องขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดแก่โจทก์ได้ เนื่องจาก ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสองนั้น ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ก็เฉพาะกรณีที่วัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดิน ศาลจึงไม่อาจสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยและนางสาวเรณู มานะจิรังพรกุล แต่จำเลยเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดที่ดินไว้ โจทก์มีความประสงค์จะขายที่ดินส่วนของตนแก่นางสาวเรณูในราคา 1,000,000 บาท โจทก์จึงขอโฉนดที่ดินจากจำเลยเพื่อไปทำนิติกรรม แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของนายประวิทย์ ตัณมุขยกุล เพราะจำเลยและครอบครัวได้นำที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยไปจำนำเป็นประกันเงินกู้ต่อนายประวิทย์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การ และที่คู่ความแถลงรับกันพอวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 28215 ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ จำเลย และนางสาวเรณูเป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 28215 ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ ต่อมาจำเลยกู้ยืมเงินนายประวิทย์และมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้นายประวิทย์ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้ หลังจากนั้นโจทก์จะจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์แก่นางสาวเรณู จึงไปขอโฉนดที่ดินจากจำเลยเพื่อนำไปดำเนินการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์โดยอ้างว่าโฉนดที่ดินมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ จำเลย และนางสาวเรณูเป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 28215 ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ แต่ละคนย่อมมีสิทธิใช้สอยที่ดินดังกล่าวได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นฯ และเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ จะจำหน่ายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนก็ได้ การที่จำเลยนำโฉนดที่ดินไปให้บุคคลอื่นยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์ได้ย่อมขัดต่อสิทธิของโจทก์ จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น จำเลยย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการนำโฉนดที่ดินคืนมาเพื่อส่งมอบแก่โจทก์จนได้ กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนให้แก่นางสาวเรณู โจทก์สามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ โดยโจทก์ไม่ต้องขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ก็เฉพาะกรณีที่วัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดิน ศาลจึงไม่อาจสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share