แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การพิจารณาถึงคำฟ้องของโจทก์ว่าประสงค์จะให้จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้อะไรจะต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของคำฟ้องทั้งหมดประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องเป็นสำคัญ มิใช่พิจารณาแต่ถ้อยคำหรือข้อความเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของคำฟ้องซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและตามตั๋วสัญญาใช้เงินในเวลาเดียวกัน เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธเกี่ยวกับมูลหนี้การกู้ยืมเงิน ดังนั้น แม้จะรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ จำเลยทั้งสองก็ยังคงต้องรับผิดตามมูลหนี้กู้ยืมเงินต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 3,455,616.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจกท์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยทั้งสองมีเพียงประการเดียวว่า คำฟ้องของโจทก์ตั้งสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งมีอายุความ 3 ปี หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) โดยซื้อมาจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,000,000 บาท และได้รับเงินกู้จำนวนดังกล่าวไปแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 28 มกราคม 2540 สัญญาว่าจะใช้เงินให้แก่หรือตามคำสั่งของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) เมื่อทวงถาม จำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือนของทุกหนึ่งเดือนนับจากวันออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นต้นไป จำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 แล้ว ไม่ชำระอีกเลย จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงได้มีหนังสือแจ้งการโอนให้จำเลยทั้งสองทราบและทวงถามให้ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายและมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการบรรยายถึงรายละเอียดของมูลหนี้ซึ่งเป็นที่มาแห่งสิทธิเรียกร้องของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งโจทก์ได้ซื้อมาจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) และจำเลยที่ 1 ได้อออกตั๋วสัญญาใช้เงินสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้แก่หรือตามคำสั่งของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) เมื่อทวงถามทั้งเอกสารท้ายคำฟ้องของโจทก์โจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือขอรับเงินกู้ซึ่งมีตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเอกสารประกอบของจำเลยมาเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุชัดเจนว่า จำเลยให้ถือว่าหนังสือนี้เป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินและรับเงินกู้จำนวน 2,000,000 บาท ไปจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว และลงลายมือชื่อของจำเลยในตอนท้ายในฐานะผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน แสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) นั้น มีมูลหนี้มาจากการกู้ยืมเงินที่จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมไปจากบริษัทดังกล่าวโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 สัญญาจะใช้เงินตามจำนวนที่กู้ยืมไปให้แก่หรือตามคำสั่งของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) เมื่อทวงถาม ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงเป็นตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้ประกอบการกู้ยืมเงิน และเพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ยืมไปจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) แม้คำฟ้องของโจทก์ในตอนหลังจะบรรยายอ้างถึงตั๋วสัญญาใช้เงินว่าจำเลยที่ 1 จะชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือนของทุกเดือนนับจากวันออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี จำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) ก็ดี รวมทั้งจำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินกับดอกเบี้ยและมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวก็ดี จึงเป็นเพียงการกล่าวถึงจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้เพื่อชำระหนี้ที่กู้ยืมนั้นตรงตามข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้อง ไม่อาจแปลว่าโจทก์มุ่งประสงค์บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายฟ้องให้เห็นถึงมูลหนี้การกู้ยืมเงินมาด้วยและยังได้แนบสำเนาหนังสือหลักฐานการกู้เงินที่เกี่ยวข้องมาเป็นส่วนหนึ่งขอคำฟ้อง การพิจารณาถึงคำฟ้องของโจทก์ว่าประสงค์จะให้จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้อะไรจะต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของคำฟ้องทั้งหมดประกอบกับเอกสารท้ายคำฟ้องเป็นสำคัญ มิใช่พิจารณาแต่ถ้อยคำหรือข้อความเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของคำฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและตามตั๋วสัญญาใช้เงินในเวลาเดียวกัน เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธเกี่ยวกับมูลหนี้การกู้ยืมเงิน ดังนั้น แม้จะรับฟังได้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองว่าสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินขาดอายุความ จำเลยทั้งสองก็ยังต้องรับผิดตามมูลหนี้กู้ยืมเงินต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์แสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าเป็นการฟ้องเรียกเงินจำนวนที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมไปจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนนคร จำกัด (มหาชน) มิใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งมีอายุความ 3 ปี นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ