แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าประเภทหินแกรนิตจากโจทก์หลายครั้ง แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าตามกำหนด จำเลยที่ 1 ให้การว่า สินค้าที่ซื้อจากโจทก์ส่วนหนึ่งจำเลยที่ 1 นำไปใช้ในโครงการก่อสร้างอาคาร ส. ตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ท. ซึ่งเป็นผู้รับเหมาโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากสินค้าที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 ไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถูกบริษัท ท. ปรับเป็นเงินจำนวน 4,000,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธินำค่าปรับจำนวนดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเรื่องการส่งมอบสินค้าไม่ถูกต้องตามสัญญาขึ้นปฏิเสธความรับผิด จำเลยที่ 1 จึงมีภาระการพิสูจน์
ปัญหาเรื่องการกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วชี้ขาดตัดสินคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,197,640.35 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,003,006.42 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ส่งหินแกรนิตให้ไม่ตรงตามที่จำเลยที่ 1 สั่ง เป็นเหตุให้บริษัทไทยฮาซาม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ก่อสร้างโครงการปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงินจำนวน 4,000,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธินำค่าปรับจำนวน 4,000,000 บาท ที่ได้ชำระให้บริษัทไทยฮาซาม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ไปมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิมาฟ้องเรียกค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 3,197,640.35 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,003,006.42 บาท นับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 กรกฎาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยสรุปว่า จำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าประเภทหินแกรนิตจากโจทก์หลายครั้ง แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าตามกำหนดจำเลยที่ 1 ให้การว่า สินค้าที่ซื้อจากโจทก์ส่วนหนึ่งจำเลยที่ 1 นำไปใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสุขุมวิท ซิตี้ทาวเวอร์ ตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ไทยฮาซาม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากสินค้าที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 ไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถูกบริษัทไทยฮาซาม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ปรับเป็นเงินจำนวน 4,000,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธินำค่าปรับจำนวน 4,000,000 บาท ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเรื่องการส่งมอบสินค้าไม่ถูกต้องตามสัญญาขึ้นปฏิเสธความรับผิด จำเลยที่ 1 จึงมีภาระการพิสูจน์ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้นั้น เป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องการกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้รับฟังได้สมกับข้อต่อสู้ตามคำให้การของตน แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีเพียงนายเกรียงศักดิ์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 มาเป็นพยานเบิกความประกอบเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 ซึ่งตามทางนำสืบของจำเลขที่ 1 ดังกล่าวไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าหินแกรนิตที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นคนละประเภทกับที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อและการที่จำเลยที่ 1 ถูกบริษัทไทยฮาซาม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ปรับเป็นเงิน 4,000,000 บาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบหินแกรนิตผิดประเภทให้แก่บริษัทดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยสั่งซื้อหินแกรนิตชนิดดำจีนไปใช้ที่โครงการก่อสร้างอาคารสุขุมวิท ซิตี้ทาวเวอร์ แต่โจทก์กลับส่งมอบหินแกรนิตชนิดดำจีนให้โดยอ้างสำเนาใบรับสินค้าชั่วคราวลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 เอกสารหมาย จ.15 นั้น ตามเอกสารหมาย จ.15 ดังกล่าวก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่าหินแกรนิตที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นหินแกรนิตชนิดดำจีนเมื่อจำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์แต่พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำมาสืบยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ