คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6474/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กองทัพบกเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหารตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินและระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการปกครองและวิธีการจัดการที่ดิน (ฉบับที่ 2) จำเลยทั้งสามเป็นนายทหารสังกัดมณฑลทหารบกที่ 2 กองทัพบก ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ดำเนินการตามกฎหมายกับโจทก์ เมื่อพบว่าโจทก์กับพวกทำการขุดดินในที่ดินของกระทรวงกลาโหม จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำตัวโจทก์มาที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมมณฑลทหารบกที่ 2เพื่อสอบถามและให้โจทก์ชี้แจงแล้วส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป การที่โจทก์ถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจเป็นดุลพินิจและอำนาจของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งสามการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กับพวกกว่าสิบคนมีอาวุธสงครามโดยคำสั่งของจำเลยที่ 1 อันมิชอบด้วยกฎหมายได้ข่มขืนใจขู่บังคับโจทก์จากวงเวียนศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถนนสุวรรณศรี ตำบลบ้านพระ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรีไปที่สถานีสารวัตรมณฑลทหารบกที่ 2 อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี หน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ในที่ดังกล่าว แล้วจำเลยทั้งหมดกับพวกบังคับขู่เข็ญนำโจทก์ไปควบคุมที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรี ตั้งข้อหาว่าโจทก์กับพวกบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ที่ดินของทางราชการทหาร ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหาย รวมค่าเสียหาย 84,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย84,500 บาท และดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 3ซึ่งรับราชการตำแหน่งนายทหารที่ดิน มณฑลทหารบกที่ 2 มีหน้าที่ตรวจสอบที่ดินซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของมณฑลทหารบกที่ 2พบโจทก์กับพวกบุกรุกเข้าไปในที่ดินของทางราชการทหารตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับที่ 164/2481 เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 72ตารางวา โจทก์กับพวกกำลังลักทรัพย์ดินลูกรัง จำเลยที่ 3 ห้ามแต่โจทก์ไม่ยอมหยุด จำเลยที่ 3 จึงกลับไปรายงานผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 2 จำเลยทั้งสามได้รับคำสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 อำนวยการอยู่ที่ศูนย์ปราบอาชญากรรมร่วมในบริเวณค่ายจักรพงษ์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กับเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารไปที่เกิดเหตุ พบพวกของโจทก์กำลังลักทรัพย์ขุดตักดินลูกรังอยู่ สอบถามพวกของโจทก์ได้ความว่า โจทก์ไปรับประทานอาหารพวกของโจทก์ไปตามโจทก์มายังที่เกิดเหตุ โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินนั้นแต่ไม่มีหลักฐานแสดงและไม่ยอมหยุดขุดตักดินลูกรังจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงเชิญโจทก์กับพวกไปที่ศูนย์ปราบอาชญากรรมร่วม แล้วมอบให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรีรับไปดำเนินการ จำเลยทั้งสามกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายป้องกันตนเองในหน้าที่ทางราชการ กระทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่เป็นละเมิดไม่ต้องรับผิดตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการปกครองและวิธีการจัดการที่ดิน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2527 ประกาศ ณ วันที่28 มีนาคม 2527 พระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหารพุทธศักราช 2478 พระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารแห่งกองสะเบียงสัตว์ในท้องที่อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี พุทธศักราช 2483 โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า กองทัพบกเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหาร ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินและระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการปกครองและวิธีการจัดการที่ดิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 เอกสารหมาย ล.1 จำเลยทั้งสามเป็นนายทหารสังกัดมณฑลทหารบกที่ 2 กองทัพบกได้ตรวจพบว่าโจทก์บุกรุกที่ดินในเขตทหารมณฑลทหารบกที่ 2 จึงรายงานให้ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 2 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 2ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบที่ดินของราชการกองทัพบกและที่ดินที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจากทางราชการ คือที่ดินตามหนังสือสำหรับที่หลวงเอกสารหมาย ล.2 อันรวมที่พิพาทด้วย จึงมีหน้าที่ดำเนินการได้ตามที่ได้รับมอบตามระเบียบข้างต้น จำเลยทั้งสามได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ดำเนินการตามกฎหมายแก่โจทก์เมื่อพบว่าโจทก์กับพวกทำการขุดดินในที่พิพาท อันเป็นที่ดินของกระทรวงกลาโหมในความดูแลของมณฑลทหารบกที่ 2 และจำเลยทั้งสามเชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์กระทำผิดฐานลักทรัพย์ดินลูกรัง การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไปนำตัวโจทก์มาที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมมณฑลทหารบกที่ 2 เพื่อสอบถามและให้โจทก์ชี้แจงแล้ว จำเลยที่ 2นำตัวโจทก์ส่งให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรีดำเนินคดีต่อไปนั้น ย่อมมีอำนาจกระทำการดังกล่าวได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่โจทก์กับพวกขุดดินลูกรังในที่พิพาทไม่เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าจำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจจับกุม และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3โดยจำเลยที่ 1 สั่งการบังคับขู่เข็ญให้โจทก์ไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรี นั้น เห็นว่า โจทก์เบิกความอ้างตนเองเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 นำตัวโจทก์ไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรี และโจทก์ตอบคำถามค้านว่าโจทก์ไปโดยขับรถของโจทก์ไปเอง แสดงว่าไม่ได้มีการจับกุมหรือบังคับขู่เข็ญโจทก์ในการนำโจทก์ไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรีแต่อย่างใด…
อนึ่ง สำหรับกรณีที่โจทก์ถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปราจีนบุรีนั้น อยู่ในดุลพินิจและอำนาจของพนักงานสอบสวนไม่ใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม การกระทำทั้งหมดของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดดั่งฟ้องโจทก์ สำหรับปัญหาในเรื่องค่าเสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสาม…”
พิพากษายืน.

Share