แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาสัญญาเช่าแล้วโจทก์ย่อม มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพร้อมขนย้าย ทรัพย์สินออกจากที่ดินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ วงษาวยอด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2531นายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่ 1 งาน 6 8/10 ตารางวาโดยโจทก์ได้เสียค่าตอบแทนแก่นายประกาศเป็นเงิน 400,000 บาทต่อมานายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม2531 นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2531 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2534 โดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียว เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16137 พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าว และก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม บุญวัฒน์ ฟ้องให้ชำระหนี้ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรโดยให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรซึ่งเป็นบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล วิบูลย์ญาณ โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพลโดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดีและการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดีหาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ดังนั้น การที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านเลขที่ 1/61ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น