คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้โอนที่ดินเป็นของตนเท่าที่โจทก์ซื้อได้เท่านั้น โจทก์จะอาศัยคำพิพากษาถึงที่สุด ในคดีที่โจทก์ไปร้องขัดทรัพย์มาอ้างขอให้โอนที่ดินเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากจำนวนที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดข้างต้นหาได้ไม่ เพราะเป็นคนละส่วนกัน โจทก์ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับโอนบางส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142(2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่52 ตารางวา พร้อมบ้าน 1 หลัง ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาด แต่ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวได้ออกโฉนดที่ดินรวมกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 499/208 เนื้อที่ 91 1/10 ตารางวาของจำเลยที่ 2 อีกแปลงหนึ่งเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 581 เนื้อที่1 งาน 43 1/10 ตารางวา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โอนที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 581 ให้แก่โจทก์เท่าจำนวนเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 52 ตารางวา แต่ก่อนจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าว เจ้าหนี้ของจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 652/2529 ของศาลชั้นต้น ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 581 เฉพาะส่วนเนื้อที่ 91 1/10ตารางวา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่652/2529 ของศาลชั้นต้น ครั้นศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนโฉนดเลขที่ 581 ทั้งแปลงแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 581 ตำบลประโคนชัยอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ที่โจทก์ขอให้ศาลมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการออกโฉนดโดยเอาที่ดิน น.ส.3ที่ยึดและโจทก์ซื้อได้กับที่ดิน น.ส.3 แปลงอื่นรวมเข้าด้วยกันเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินตาม น.ส.3 แปลงเดียว ศาลจึงไม่มีอำนาจแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินตามโฉนดทั้งแปลงได้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 581ทั้งแปลงแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 290สารบบเล่มหมู่ที่ 4 ตำบลประโคนชัย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ 52 ตารางวา พร้อมด้วยบ้าน 1 หลัง ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ปรากฏการนำยึดตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีและบันทึกการยึดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2529 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขออนุญาตต่อศาลชั้นต้นประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี ฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2529และศาลชั้นต้นโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศการขายทอดตลาดทรัพย์ 2 รายการนั้นไว้ล่วงหน้าว่าจะทำการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวในวันที่ 14 ตุลาคม 2529 ครั้นถึงกำหนดวันขายทอดตลาดปรากฏว่าโจทก์ซื้อทรัพย์ทั้ง 2 รายการนั้นได้ในราคา 326,000 บาท(เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาประเมินไว้ 190,000 บาท) ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขาย ดังนี้โจทก์จึงย่อมมีสิทธิขอให้โอนทรัพย์เป็นของตนเท่าที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดของศาลเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งจากการนำยึดทรัพย์ของโจทก์เองและจากการประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้น ซึ่งได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ตามที่โจทก์นำยึดระบุแน่ชัดว่า ที่ดินที่ขายทอดตลาดมีเนื้อที่เพียง 52 ตารางวา พร้อมด้วยบ้านบนที่ดินนั้นจำนวน 1 หลัง เช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิขอให้โอนทรัพย์เป็นของโจทก์ได้เท่าที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาด และโจทก์ซื้อได้เท่านั้นโจทก์จะอาศัยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ 652/2529 ระหว่าง นางสุชิด เทียนศิริวงศากุล โจทก์นายเลิศ พรรณวงศ์ กับพวก จำเลย ที่โจทก์ไปร้องขัดทรัพย์ในคดีนั้นมาอ้างเพิ่มเติมขอโอนที่ดินนอกเหนือไปจากจำนวนที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดข้างต้นเพื่อให้เป็นของโจทก์อีกด้วยนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นคนละส่วนกันกับที่โจทก์ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดของศาล หากโจทก์จะมีสิทธิในที่ดินส่วนอื่นอย่างไรก็เป็นคนละส่วนคนละเรื่องกับที่โจทก์ซื้อทรัพย์ได้ในคดีนี้ โจทก์ต้องไปดำเนินการต่างหาก โจทก์จะถือโอกาสอ้างเอาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ในคดีหมายเลขแดงที่ 652/2529 มาเป็นมูลให้ศาลสั่งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 581 ทั้งแปลงซึ่งมีเนื้อที่มากไปกว่าที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดในคดีนี้หาได้ไม่ โจทก์คงมีสิทธิที่จะขอให้โอนกรรมสิทธิ์ในคดีนี้เฉพาะส่วนที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาดเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 581ทั้งแปลงให้แก่โจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน เมื่อตามคำร้อง ของโจทก์ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลง แต่ในทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในบางส่วนศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้โจทก์ได้รับโอนบางส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(2)”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการโอนโฉนดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 581 เฉพาะส่วนที่โจทก์ซื้อได้จากการขายทอดตลาด เนื้อที่ 52 ตารางวา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share