แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับผ้าโจทก์ไปขาย โดยทำสัญญากู้ให้ไว้เท่าราคาผ้าดังนี้ ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง ต้องถือเป็นสัญญากู้เงินโดยรับสิ่งของแทนเงิน
เมื่อฟังว่า กู้เงินกันเกิน 50 บาทแล้ว การนำสืบการใช้เงินจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือแทงเพิกถอนในเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้นั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป 1,800 บาทโดยสัญญาจะใช้ภายใน 3 เดือน และได้ขอกู้เพิ่มเติมอีก 1,399 บาทโดยใช้สัญญาเดิมเขียนเติมเป็น 3,199 บาท โดยมิได้แก้ตัวอักษรให้ตรงตัวเลข ต่อมาจำเลยบิดพริ้วไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ได้รับผ้า 6 พับไปแทนเงิน 1,800 บาท เท่ากับยินยอมรับสิ่งของแทนจำนวนเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคแรก จำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้โจทก์ ส่วนหนี้อีกรายหนึ่งนั้นเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง
จำเลยฎีกาคัดค้านว่า สัญญากู้รายนี้เป็นนิติกรรมอำพรางตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ศาลไม่ควรบังคับให้จำเลยใช้
คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะเงินกู้เดิม 1,800 บาท ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจะรับผ้า 6 พับของโจทก์ไปขาย โจทก์ไม่เชื่อใจ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ฉบับนี้ให้ไว้ รูปเรื่องเข้าลักษณะรับสิ่งของแทนเงิน หาใช่นิติกรรมอำพรางตามฎีกาจำเลยไม่ และคู่กรณีก็มิได้มีเจตนาทำสัญญานี้ขึ้นเพื่อจะลวงผู้ใดเลย เมื่อฟังว่าเป็นสัญญากู้อันถูกต้องแล้ว จำเลยนำสืบการใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรค 2 ไม่ได้ก็ต้องแพ้คดีจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์