คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6444/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาขายสิทธิการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งก่อให้เกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยจึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ การโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าอาคารเลขที่ 526ของสำนักงานบำรุงการทหาร จังหวัดทหารบกลพบุรี ให้แก่โจทก์ในราคา 640,000 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์วางเงินมัดจำจำนวน 188,000 บาทเมื่อถึงวันกำหนดนัด โจทก์ไม่สามารถหาเงินมาชำระ จึงขอร้องจำเลยให้ขยายระยะเวลาการโอนออกไป 15 วัน จำเลยตกลง ครั้นถึงกำหนดโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่า โจทก์จะให้จำเลยไปดำเนินการโอนสิทธิการเช่าอาคารที่สำนักงานบำรุงการทหาร จังหวัดทหารบกลพบุรี จำเลยทราบแล้วก็ไม่ไปดำเนินการโอนให้แต่จะขอขึ้นราคาสิทธิการเช่าขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 526ให้แก่โจทก์และรับเงินจำนวน 452,000 บาท ภายใน 7 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ยอมไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและจำนวนเงินที่ค้างชำระ 452,000 บาท หากจำเลยไม่ยอมรับ โจทก์สามารถวางทรัพย์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 2,800 บาท และค่าเสียหายวันละ 100 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะไปโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดนัดและไม่ชำระเงินที่เหลือให้แก่จำเลยจำเลยจึงริบมัดจำ แต่โจทก์ต้องการที่จะได้สิทธิการเช่าในอาคารดังกล่าวในที่สุดโจทก์และจำเลยตกลงราคาซื้อขายเป็นเงิน 670,000 บาทครั้นถึงวันนัดโจทก์ผิดนัดอีก สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยจึงสิ้นสุดลง สิทธิการเช่าตามฟ้องเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่อาจโอนกันได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปโอนสิทธิการเช่าอาคารเลขที่ 526ให้แก่โจทก์และรับเงินจากโจทก์จำนวน 452,000 บาท ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ยอมไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขอเรื่องค่าเสียหายให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่สามารถฟ้องบังคับโอนแก่กันได้ เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นสัญญาขายสิทธิการเช่าอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งก่อให้เกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่การโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์จึงเห็นสมควรแก้คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายินยอมโอนสิทธิการเช่าอาคารเลขที่ 526 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปแสดงเจตนายินยอมโอนดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share