คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจที่จะนำข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลย แต่ไม่อาจนำมารับฟังในฐานะพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ถูกฟ้องด้วยไม่ โดยหากเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลย ก็ชอบแต่จะให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมให้ชัดแจ้ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี และปรับ 20,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยโดยผู้เสียหายยินยอมนั้นไม่ชอบ เพราะคดีต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยตามฟ้องโจทก์ นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดปัญหาที่ต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า มีเหตุลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ แต่กลับวินิจฉัยโดยเห็นว่าผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับจำเลยโดยความยินยอม จำเลยมิได้กระทำชำเราโดยใช้พละกำลังทำให้ผู้เสียหายต้องอยู่ในภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจที่จะนำข้อเท็จจริงนั้นมาประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลย แต่ก็ไม่อาจนำมารับฟังในฐานะพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ถูกฟ้องด้วยไม่ โดยหากเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์และคำรับสารภาพของจำเลย ก็ชอบแต่จะให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมให้ชัดแจ้ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเมื่อคดีนี้จำเลยรับสารภาพและไม่ต้องสืบพยานประกอบ ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติตามฟ้องโจทก์ว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่เนื่องจากปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยกับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า ควรลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ นั้น สามารถพิจารณาไปด้วยกัน ศาลฎีกาจึงไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาในส่วนที่ผิดพลาดและพิพากษาใหม่ แต่เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยและฎีกาของโจทก์ไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพมาโดยตลอดและชดใช้ค่าเสียหายแก่ฝ่ายผู้เสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแล้ว แม้อาจยังไม่เป็นที่พอใจ แต่ผู้เสียหายก็แถลงว่าไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายและดำเนินคดีอาญา ขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย นับว่าจำเลยรู้สำนึกในความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดตามสมควรแล้ว ทั้งปัจจุบันจำเลยมีการงานทำเป็นหลักแหล่ง กรณีมีเหตุอันควรปรานีลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมมากกว่า ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 5 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 277 วรรคหนึ่ง และให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน ปรากฏว่าโทษจำคุกและโทษปรับตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษสูงกว่าโทษจำคุกและโทษปรับตามกฎหมายเดิม ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย
พิพากษายืน

Share