คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6441/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536 รวม 3 ครั้งและในปี 2537 รวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปแต่อย่างใดผู้เสียหายคงอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ ดังนี้ผู้เสียหายได้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละครั้งไปแล้ว แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 ถึง 3 วัน ครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สองเพียง 1 วัน และครั้งที่ห้าห่างจากครั้งที่สี่เพียง 1 วัน และในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนากระทำชำเราเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายคนละวันต่างวาระกันและมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใดจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง จึงเป็นความผิดรวม 5 กระทง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อวันเดือนใดไม่ปรากฏชัดพ.ศ. 2536 กับเมื่อวันที่ 15 และ 16 มีนาคม 2537 เวลากลางวันจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงทิพย์วรรณ แสนสุข ผู้เสียหายอายุ 11 ปีเศษ ยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้รวม 5 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง ต่างกรรมต่างวาระกันจำคุกกระทงละ 9 ปีเรียงกระทงลงโทษ 5 กระทง รวมจำคุก 45 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษอยู่บ้างลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 30 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยกระทงละ7 ปี รวม 2 กระทง เป็นโทษจำคุก 14 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 9 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536รวม 3 ครั้ง และในปี 2537 รวม 2 ครั้ง รวมกระทำชำเราทั้งหมด 5 ครั้ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 5 กระทงหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536 รวม 3 ครั้ง และในปี 2537 รวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้งจำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปแต่อย่างใด ผู้เสียหายคงอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ แสดงให้เห็นว่าหลังเกิดเหตุแต่ละครั้งผู้เสียหายได้พันจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 ถึง 3 วันครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สองเพียง 1 วัน และครั้งที่ห้าห่างจากครั้งที่สี่เพียง 1 วัน และในแต่ละครั้งจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนากระทำชำเราเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายคนละวันต่างวาระกันและมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใด จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง เป็นความผิดรวม 5 กระทง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยกระทงละ 7 ปี รวม 5 กระทงเป็นจำคุก 35 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 23 ปี4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share