คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6432-6436/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินที่ทางราชการกำหนดเป็นเขตหวงห้ามไว้ใช้ในราชการทหารตามประกาศมณฑลนครราชสีมานั้น แม้จะกำหนดแนวอาณาเขตไว้ทั้งสี่ทิศแต่ก็มีเนื้อที่มากถึงประมาณ 11,011 ไร่เศษ หลักไม้แก่นที่อ้างว่าปักไว้ในระหว่างหลักมุมหักทุกระยะนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดยังเห็นปักอยู่ในบริเวณที่ดินพิพาท การกำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารก็ไม่ปรากฏว่ามีหลักแนวเขตปักไว้ ทั้งการนำที่ดินดังกล่าวบางส่วนไปจดทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุก็ระบุอาณาเขตคร่าว ๆ การที่จะทราบว่าที่ดินส่วนใดเป็นพื้นที่ของมณฑลทหารบกที่ 21 ต้องมาจากการตรวจสอบรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินทางราชการเองก็ไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่ ดังนี้ แม้จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในความครอบครองดูแลของมณฑลทหารบกที่ 21เมื่อจำเลยทั้งห้าเข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทโดยสุจริตด้วยเข้าใจว่าตนเองมีสิทธิจำเลยทั้งห้าจึงขาดเจตนาในความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกจำเลยในสำนวนที่ 1 และที่ 2 เป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 เรียกจำเลยในสำนวนที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6ตามลำดับ

โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยทั้งห้าบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลข นม.1988 อันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของมณฑลทหารบกที่ 21 กองทัพบกผู้เสียหาย อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของมณฑลทหารบกที่ 21 กองทัพบกโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108ทวิ และให้จำเลยทั้งห้าพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้อง

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินที่ทางราชการกำหนดเป็นเขตหวงห้ามไว้ใช้ในราชการทหาร ตามประกาศมณฑลนครราชสีมาตามเอกสารหมาย จ.1 นั้น แม้จะกำหนดแนวอาณาเขตไว้ทั้งสี่ทิศ แต่ก็มีเนื้อที่มากถึงประมาณ 11,011 ไร่เศษ หลักไม้แก่นที่อ้างว่าปักไว้ในระหว่างหลักมุมหักทุกระยะนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์คนใดเบิกความว่ายังเห็นหลักดังกล่าวปักอยู่ในบริเวณที่ดินพิพาท การกำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาปี 2483 ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็ไม่ปรากฏว่ามีหลักแนวเขตปักไว้ การนำที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ ไปจดทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุตามเอกสารหมาย จ.3 ก็ระบุอาณาเขตไว้คร่าว ๆ ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจรดทางสาธารณประโยชน์ ทิศเหนือและทิศใต้จรดที่ดินที่มีการครอบครอง จ่าสิบเอกสงขลาฉันงูเหลือม พยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลที่ดินดังกล่าวก็เบิกความว่า เหตุที่ทราบว่าที่ดินส่วนใดเป็นพื้นที่ของมณฑลทหารบกที่ 21 ก็เนื่องมาจากการตรวจสอบรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดิน โดยเมื่อประมาณปี 2526 ผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบบริเวณที่ดินพิพาท เพราะเห็นมีราษฎรเข้าไปทำประโยชน์บนเนื้อที่ดินดังกล่าว แสดงว่าทางราชการเองก็ไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือไม่ ดังนั้น แม้จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในความครอบครองดูแลของมณฑลทหารบกที่ 21 เมื่อจำเลยทั้งห้าต่อสู้คดีเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยทั้งห้าเข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทโดยสุจริต เข้าใจว่าตนเองมีสิทธิ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้าขาดเจตนากระทำความผิด การกระทำของจำเลยทั้งห้าไม่เป็นความผิดตามฟ้องจึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share