แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อมีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมบิดามารดาโดยกำเนิดของบุตรบุญธรรมย่อมหมดอำนาจปกครองไปตั้งแต่เวลาที่เป็นบุตรบุญธรรมแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1598/28ดังนั้นเมื่อผู้ร้องยกส. ให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่บ. แล้วผู้ร้องกับอ. ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยกำเนิดของส. ก็หมดอำนาจปกครองนับแต่เวลาที่ส. เป็นบุตรบุญธรรมของบ. แม้ภายหลังบ.ถึงแก่กรรมก็ไม่มีผลทำให้การรับบุตรบุญธรรมต้องเลิกหรือสิ้นสุดไปด้วยส. ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของบ. อยู่ผู้ร้องกับอ.หาได้กลับมีอำนาจปกครองขึ้นมาใหม่ไม่อำนาจปกครองของบิดามารดาโดยกำเนิดจะกลับคืนมาก็ต่อเมื่อมีการเลิกรับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1598/37เท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าส. บุตรผู้เยาว์ไม่มีผู้ปกครองและผู้ร้องกับอ. ก็มิใช่เป็นผู้ได้อำนาจปกครองส. กลับคืนมาจึงมีความจำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้มีอำนาจปกครองส. ได้เมื่อผู้ร้องเป็นบิดาโดยกำเนิดและโดยชอบด้วยกฎหมายของส. จึงเห็นสมควรตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้มีอำนาจปกครองส. บุตรผู้เยาว์
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องกับนางอุมาภรณ์ เหล่าแกมแก้วเป็นบิดามารดาของเด็กชายสุธิพงษ์ เหล่าแกมแก้ว อายุประมาณ 8 ปีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2537 ร้อยตรีบุญเลิศ เหล่าแกมแก้วได้จดทะเบียนรับเด็กชายสุธิพงษ์เป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาวันที่23 กันยายน 2538 ร้อยตรีบุญเลิศถึงแก่กรรมทำให้เด็กชายสุธิพงษ์ไม่มีผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องในฐานะบิดาของเด็กชายสุธิพงษ์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า เมื่อผู้รับบุตรบุญธรรมของเด็กชายสุธิพงษ์ถึงแก่กรรม ความเป็นผู้ปกครองย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/7 (1) ให้บิดามารดาของเด็กชายสุธิพงษ์โดยกำเนิดกลับมีอำนาจปกครองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/37 กรณีผู้ร้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายสุธิพงษ์ ย่อมมีอำนาจปกครองอยู่แล้วตามผลของกฎหมายจึงไม่จำต้องใช้สิทธิทางศาล ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่า ผู้ร้องมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลร้องขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์หรือไม่ ในข้อนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 บัญญัติว่า บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้นแต่ไม่สูญสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมา ในกรณีเช่นนี้ให้บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองนับแต่วันเวลาที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อมีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม บิดามารดาโดยกำเนิดของบุตรบุญธรรมนั้นย่อมหมดอำนาจปกครองไปตั้งแต่วันเวลาที่เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้ร้องยกเด็กชายสุธิพงษ์ให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ร้อยตรีบุญเลิศแล้ว ผู้ร้องกับนางอุมาภรณ์ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยกำเนิดของเด็กชายสุธิพงษ์ก็หมดอำนาจปกครองนับแต่วันเวลาที่เด็กชายสุธิพงษ์เป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีบุญเลิศและแม้ภายหลังร้อยตรีบุญเลิศถึงแก่กรรม การถึงแก่กรรมของร้อยตรีบุญเลิศผู้รับบุตรบุญธรรมก็หาได้มีผลทำให้การรับบุตรบุญธรรมต้องเลิกหรือสิ้นสุดไปด้วยไม่ เด็กชายสุธิพงษ์ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของร้อยตรีบุญเลิศอยู่ ผู้ร้องกับนางอุมาภรณ์ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยกำเนิดของเด็กชายสุธิพงษ์บุตรผู้เยาว์หาได้กลับมีอำนาจปกครองขึ้นมาใหม่ได้ไม่ อำนาจปกครองของบิดามารดาโดยกำเนิดจะกลับคืนมาก็ต่อเมื่อมีการเลิกรับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/37 เท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าเด็กชายสุธิพงษ์บุตรผู้เยาว์ไม่มีผู้ปกครองและผู้ร้องกับนางอุมาภรณ์ก็มิใช่เป็นผู้ได้อำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์กลับคืนมาเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์ได้ ทั้งเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องเป็นบิดาโดยกำเนิดและโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายสุธิพงษ์บุตรผู้เยาว์ ศาลฎีกาเห็นสมควรตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์บุตรผู้เยาว์ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้นายปัญญา เหล่าแกมแก้ว ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กชายสุธิพงษ์ เหล่าแกมแก้ว