คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับที่ 3) 2474 ซึ่งแก้ไขมาตรา 49 พ.ร.บ.ศุลกากร 2469 หมายถึง เรือที่บรรทุกสินค้า หรือมิฉะนั้นก็เป็นเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าแต่เป็นเรือที่ต้องมีอับเฉา
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่น ๆ ที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพะยาน เพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจพาเรือยนตร์ของจำเลย ซึ่งไม่ได้บรรทุกสินค้าและเป็นเรือ ซึ่งมีแต่อับเฉาออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้ขออนุญาต และยื่นรายงานตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าพนักงานเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและออกใบอนุญาตปล่อยเรือเสียก่อน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ๒๔๖๙ มาตรา ๔๙ และ พ.ร.บ.ศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับที่ ๓) ๒๔๗๔ มาตรา ๕ จำเลยให้การรับว่า เป็นเจ้าของเรือยนตร์และได้พาออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้ใบอนุญาตและใบปล่อยเรือตามฟ้อง เรือนี้มิได้บรรทุกสินค้าจริง แต่มิได้มีอับเฉาหรือเครื่องถ่วงให้เรือโคลง โจทก์ขอสืบพะยานอธิบายความหมายของคำ อับเฉา จำเลยไม่ติดใจสืบพะยาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยาน แล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามมาตรา ๕ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉะบับที่ ๓) ๒๔๗๔ ซึ่งแก้ไขมาตรา ๔๙ หมายความถึงเรือบรรทุกสินค้า หรือมิฉะนั้น ก็เป็นเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าแต่เป็นเรือที่มีอับเฉา คำว่า อับเฉา นี้โจทก์ก็ยอมรับอยู่ว่าหมายถึงของหนักอื่น ๆ ที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้โคลง โจทก์จะขอสืบพะยานเพื่อแปลความหมายของอับเฉาให้ผันแปรไปอย่างอื่นหาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share