แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ร้อยตำรวจโท ส. และร้อยตำรวจเอก ว. ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 อ้างว่าได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจาก ว. แล้วได้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งที่อยู่ ว. และไม่ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุม ว. แต่อย่างใด ดังนั้น ข้อมูลที่จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นข้อมูลที่มีการขยายผลจนสามารถยึดเมทแอมเฟตามีนหรือจับกุมผู้กระทำความผิดได้ ทั้งยังไม่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
ตามสำเนาบันทึกการจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ท. พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 5,967 เม็ด เป็นของกลางโดยการใช้สายลับล่อซื้อภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุม ท. ก็ไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 1 ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้อ้างในชั้นอุทธรณ์จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ดของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสาม ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,000,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 25 ปี และปรับคนละ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด หมายเลข 09 3433 xxxx ของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยวา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งจะมีผลให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 หรือไม่ เห็นว่า วันที่ 17 กรกฎาคม 2558 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3,972 เม็ด และยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด จำนวน 2 เครื่อง หมายเลข 09 3443 xxxx และหมายเลข 08 0906 xxxx เป็นของกลาง จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาส่งให้แก่สายลับโดยมีนายเวย์ซึ่งเป็นคนลาวและมีบ้านอยู่ใกล้กันได้ว่าจ้างเป็นเงิน 20,000 บาท วันที่ 18 กรกฎาคม 2558 จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ได้รับเมทแอมเฟตามีนของกลางจากนายแอซึ่งเป็นเพื่อนชาวลาว ไม่ทราบที่อยู่แน่นอน อยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร โดยรับจ้างนายแอทำหน้าที่ส่งยาเสพติด ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2558 จำเลยที่ 1 ให้การเพิ่มเติมหลังจากพนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิตามมาตรา 100/2 แล้วว่า หากจำเลยที่ 1 มีข้อมูลยาเสพติดจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบทันที เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพและจำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ได้นำยาเสพติดของกลางมาให้จำเลยที่ 1 จำหน่าย รวมทั้งได้ให้ข้อมูลในทางลับและในเชิงลึกของขบวนการคนสัญชาติลาวที่ค้ายาเสพติดในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมเพื่อให้ติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดของคนสัญชาติลาวไว้แล้ว ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 แต่ร้อยตำรวจโท สมพร และร้อยตำรวจเอก วิชานนท์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองกลับเบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองทำนองเดียวกันว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 อ้างว่าได้รับเมทแอมเฟตามีนมาจากนายเวย์หรือแอ และได้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งที่อยู่นายเวย์หรือแอและไม่ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมนายเวย์หรือแอแต่อย่างใด ดังนั้น ข้อมูลที่จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นข้อมูลที่มีการขยายผลจนสามารถยึดเมทแอมเฟตามีนหรือจับกุมผู้กระทำความผิดได้อีก ทั้งยังไม่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น สำหรับสำเนาบันทึกการจับกุมนายทุย ตามเอกสารแนบท้ายอุทธรณ์ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่จำเลยที่ 1 ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจจนสามารถขยายผลติดตามจับกุมตัวนายทุยได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5,967 เม็ด เป็นของกลาง นายทุยเป็นคนสัญชาติลาวซึ่งอยู่ในเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติตามที่จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลไว้ในชั้นถูกจับกุม ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น เห็นว่า ตามสำเนาบันทึกการจับกุมดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายทุยพร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5,967 เม็ด เป็นของกลางโดยการใช้สายลับล่อซื้อเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 หลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งข้อเท็จจริงในการจับกุมนายทุยดังกล่าวไม่ปรากฏในทางนำสืบของพยานโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 1 ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่จำเลยที่ 1 เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน