คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทั้งสองเองบิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้น จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลและถือได้ว่าบิดาโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน ก่อนจดทะเบียนสมรสจำเลยทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอโพธารามว่า จะให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ให้เงินสินสอดกับโจทก์ 40,000 บาท และจะจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีในเดือนกรกฎาคม 2533 หลังแต่งงานตามประเพณีไปแล้ว 2 เดือน จำเลยทั้งสองจะมอบทองรูปพรรณหนัก 2 บาท ให้โจทก์ ทั้งนี้เพื่อระงับคดีอาญาที่โจทก์แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงิน 40,000 บาท ไม่จัดงานแต่งงานตามประเพณีและไม่มอบทองรูปพรรณหนัก 2 บาท มูลค่า 10,000 บาท ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลย ทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กันสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะเพราะทำโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์เพราะถูกขู่เข็ญว่าจะดำเนินคดีเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา สัญญาประนีประนอมยอมความจึงตกเป็นโมฆะเช่นกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินสอด เพราะโจทก์ไม่ใช่บิดามารดาหรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์แล้วต่างคนต่างอยู่ ทั้งนี้เพราะมิได้มีเจตนาจะทำการสมรสกันจริงการสมรสจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1เกิดจากความสมัครใจ มิใช่เกิดจากการข่มขู่หรือบังคับจากผู้ใดจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรส ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 50,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคแรก คดีจำเลยที่ 1 คงฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1ตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เนื่องมาจากมูลละเมิดไม่ใช่เป็นเรื่องจะให้สินสอดแก่บิดามารดาของโจทก์ จึงมีข้อที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น เป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นนิติกรรมเกี่ยวแก่ทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้ทำขึ้นขณะโจทก์ยังเป็นผู้เยาว์โจทก์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 เมื่อโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก็ตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ ทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเองบิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้น ดังนี้ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ปัญหาต่อไปว่าการที่โจทก์ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ในขณะนั้นทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.3 ดังกล่าว เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 ได้บัญญัติว่า ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงเห็นว่า นิติกรรมตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น แม้โจทก์ยังเป็นผู้เยาว์ แต่ได้ทำลงไปโดยมีนายบุญมาผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้นย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share