แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลายคนสมคบกันใช้ให้จำเลยคนหนึ่งไปแจ้งข้อความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า ผู้เสียหายได้ใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแก่จำเลยผู้แจ้ง เพื่อแกล้งให้ผู้เสียหายต้องรับโทษทางอาญา ดังนี้ จำเลยทั้งหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 และมาตรา 174 วรรคสอง ไม่ผิดตามมาตรา 174 วรรคแรก และการกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตาม มาตรา 174 วรรคสองซึ่งเป็นบทหนัก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 174 วรรคแรก โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 174 วรรคสองศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้บทลงโทษให้ ถูกต้องโดยไม่เพิ่มกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้ และถือว่าเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาได้ด้วย
ย่อยาว
คดีทั้ง 4 สำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน คดีมีปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะคดีที่ 1, 3 และ 4
คดีที่ 1, 3 และ 4 โจทก์ฟ้องมีใจความรวมกันว่า จำเลยสมคบกันเป็นผู้จ้างวานและยุยงส่งเสริมให้นางสาวฉลวย จำเลยคดีที่ 1 นางดวงจันทร์หรือมณี และนางสาวสุนีย์ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่เจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่านายมูกันซิงห์ผู้เสียหายคดีที่ 1, 4 และนายโองการซิงห์ผู้เสียหายคดีที่ 3 ได้ใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแก่นางสาวฉลวย จำเลยคดีที่ 1 นางดวงจันทร์หรือมณี และนางสาวสุนีย์ กับได้ร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโดยจำเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่จำเลยสมคบกันเพื่อจะแกล้งให้นายมูกันซิงห์ผู้เสียหาย คดีที่ 1, 4 และนายโองการซิงห์ผู้เสียหายคดีที่ 3 ถูกจับกุมดำเนินคดีและต้องรับโทษทางอาญาในข้อหาที่มีระวางโทษจำคุกอย่างสูงถึง 3 ปี เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจเชื่อว่าได้มีความผิดเกิดขึ้น และอาจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองและเจ้าพนักงานตำรวจที่รับแจ้งเสียหาย
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 วรรคสอง, 179, 181, 83, 84
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายมูกันซิงห์ผู้เสียหายคดีที่ 1, 4 ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นฟังว่า ข้อความที่ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจเป็นความเท็จ ความจริงไม่ได้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อแกล้งให้ผู้เสียหายต้องรับโทษทางอาญา พิพากษาว่า นางสาวฉลวยจำเลยที่ 1 นายเยสปานซิงห์กับนายปรีตำซิงห์จำเลยคดีที่ 1, 3, 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173, 174 วรรคแรก ลงโทษจำคุกนางสาวฉลวยจำเลย 1 ปี นายเยสปานซิงห์นายปรีตำซิงห์จำเลยคดีละ 1 ปี รวม 3 ปี นายปรีตำซิงห์เบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ปรานีลดโทษให้คดีละกึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยติดต่อกัน ส่วนจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
นางสาวฉลวย นายเยสปานซิงห์และนายปรีตำซิงห์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางสาวฉลวยและนายเยสปานซิงห์ จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีชั้นศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายเยสปานซิงห์จำเลยกับพวกได้สมคบร่วมกันจ้างและใช้นางดวงจันทร์หรือมณีและนางสาวสุนีย์ไปแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า ผู้เสียหายใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจาร เพื่อแกล้งให้ผู้เสียหายรับโทษอาญาจริง และฟังว่านางสาวฉลวยได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า นายมูกันซิงห์ผู้เสียหายใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแต่เฉพาะคดีที่ 1 ไม่ได้ความว่า นายเยสปานซิงห์จำเลยได้จ้างใช้และยุยงส่งเสริมนางสาวฉลวยแจ้งความเท็จ
วินิจฉัยว่า การกระทำของนางสาวฉลวยจำเลยคดีที่ 1 นายเยสปานซิงห์จำเลยคดีที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173, 174 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรคแรก และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในข้อนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยแม้ฝ่ายโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงให้ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่หนัก เนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดี แม้โจทก์และนายปรีตาซิงห์จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไป ถึงนายปรีตำซิงห์จำเลยได้พิพากษาแก้ว่า นางสาวฉลวยจำเลยคดีที่ 1 นายเยสปานซิงห์จำเลยคดีที่ 3, 4 และนายปรีตำซิงห์จำเลยคดีที่ 1, 3, 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173, 174 วรรคสอง ให้ลงโทษตามมาตรา 174 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่หนัก ให้ยกฟ้องโจทก์คดีที่ 1 ที่ให้ลงโทษนายเยสปานซิงห์จำเลยนอกจากที่แก้พิพากษายืน