แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มติคณะกรรมการบริษัทให้จัดให้มีค้ำประกันสำหรับสมุหบัญชีในวงเงิน 30,000 บาทและพนักงานที่เกี่ยวกับการเงินคนละ 10,000 บาท แต่สัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ไม่ได้จำกัดวงเงินที่จะต้องรับผิดชอบนั้น ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย มติของคณะกรรมการเป็นเพียงระเบียบภายในของบริษัท มิได้เกี่ยวกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมือจำเลยสมัครใจทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์อย่างใด ก็ต้องรับผิดชอบตามสัญญาที่ได้ทำไว้
ข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกา ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นพนักงานขายสินค้าและบุหรี่ของบริษัทโจทก์ได้ทุจริตยักยอกเงินค่าบุหรี่ไป จำเลยที ๒ ซึ่งเป็นสมุหบัญชีของบริษัทโจทก์ได้ร่วมมือปกปิดไม่แจ้งให้คณะกรรมการบริษัทโจทก์ทราบ แต่กลับร่วมทำการทุจริตกับจำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑, ๒ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ ๑, ๒ ใช้เงินที่ยักยอกไปจากโจทก์ หากจำเลยที่ ๑, ๒ ไม่ใช่หรือชำระไม่ครบ ก็ให้จำเลยที่ ๓, ๔ ใช้แทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ สู้ว่า ไม่เคยได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ตามฟ้อง แต่ถูกเรียกไปทำงานนอกเหนือตำแหน่ง คณะกรรมการให้จำเลยหาประกัน จำเลยจึงให้จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน คดีโจทก์ขาดอายุความ และฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ สู้ว่า จำเลยที่ ๒ ทำการโดยสุจริต มิได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ
จำเลยที่ ๓ สู่ว่า สัญญาค้ำประกันที่โจทก์ฟ้อง นอกเหนือเกินคำสั่งของกรมการค้าภายใน และคณะกรรมการบริษัทโจทก์จำเลยที่ ๑ ไปทำงานนอกเหนือหน้าที่ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดชอบ
จำเลยที่ ๔ สู้ว่า สัญญาค้ำประกันทำนอกเหนือและเกินคำสั่งของคณะกรรมการบริษัทโจทก์และคำสั่งกรมการค้าภายใน ซึ่งให้ประกันจำเลยที่ ๒ ภายในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท สัญญาค้ำประกันจึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๓, ๔ ต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑, ๒ ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑, ๒ ใช้เงินแก่โจทก์หากจำเลยที่ ๑,๒ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ ๓, ๔ ชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ ๓, ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๓, ๔ ต่างมีสิทธิบริบูรณ์ในอันที่จะผูกพันตนกับบริษัทโจทก์ โดยจำกัดความรับผิดในวงเงินเท่าไรก็ได้ การที่จำเลยที่ ๓, ๔ เข้าค้ำประกันจำเลยที่ ๑, ๒ โดยไม่จำกัดวงเงินที่จะต้องรับผิด ต้องถือว่าได้ยอมผูกนิติสัมพันธ์กับบริษัทโจทก์ด้วยใจสมัครแล้ว จะอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะหาได้ไม่ แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓, ๔ เป็นการบังคับให้ต้องรับผิดเกินกว่าที่โจทก์เรียกร้อง ยังไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓, ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า มติคณะกรรมการได้จัดให้มีค้ำประกันสำหรับสมุหบัญชีในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และพนักงานที่เกี่ยวกับการเงินคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่สัญญาที่จำเลยที่ ๓, ๔ ทำไว้กับโจทก์ไม่ได้จำกัดวงเงินที่จะต้องรับผิดชอบนั้น เป็นสัญญาที่สมบูรณ์ ชอบด้วยกฎหมาย ใช้บังคับได้มติของคณะกรรมการเป็นเพียงระเบียบภายในของบริษัท มิได้เกี่ยวกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยสมัครใจทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์อย่างใด ก็ต้องรับผิดชอบตามสัญญาที่ได้ทำไว้ ขณะทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าและบุหรี่ มีหน้าที่เก็บเงินหรือรับเงินราคาสินค้าและบุหรี่ส่งมอบสมุหบัญชี มิใช่มีหน้าที่เป็นเพียงคนงาน โจทก์ให้เข้าไปทำงานจนเกิดการเสียหายขึ้น นอกเหนือไปจากเจตนาของจำเลยที่ ๓ ที่ได้ทำไว้กับโจทก์สัญญาค้ำประกันจึงไม่เป็นโมฆะ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๑, ๒ ทำละเมิดนอกเหนือข้อตกลงจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดนั้น จำเลยที่ ๓, ๔ มิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย