คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเดิม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยชอบแล้ว ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2หรือไม่ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยโจทก์จะขายที่ดินให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งซึ่งแยกที่ดินเป็น 3 ส่วนส่วนที่หนึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 โดยจำเลยได้ชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญา ส่วนที่สองเป็นที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 78, 18และ 62 ซึ่งเนื้อที่ครึ่งหนึ่งตกลงกันในราคา 823,412 บาท จำเลยวางเงินมัดจำไว้ 329,365 บาท คงเหลือ 494,047 บาท กำหนดจะชำระภายในเวลา 1 ปี นับจากวันทำสัญญา และส่วนที่สามเป็นที่ดินยังไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดินซึ่งเนื้อที่ครึ่งหนึ่งตกลงกันในราคาไร่ละ 190,000 บาทโดยเมื่อโจทก์ออกหนักฐานสำหรับที่ดินได้แล้วจะแจ้งให้จำเลยทราบจำเลยจะต้องชำระเงินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินให้แก่โจทก์ภายในเวลา30 วัน และชำระอีกร้อยละ 30 ภายในเวลา 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ได้รับชำระงวดแรก ต่อมาจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 โดยไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือสำหรับที่ดินที่มี น.ส.3 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและฟ้องคดีต่อศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 และวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาข้อ 3เมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ โจทก์จึงฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายข้อ 2 ได้ และเมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจะต้องโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ในส่วนของจำเลยที่ได้รับโอนไปจากโจทก์คืนแก่โจทก์และการที่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ 494,047 บาทแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายซึ่งคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เป็นเงิน 259,374.64 บาท ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ในส่วนของจำเลยที่รับโอนไปจากโจทก์คืนแก่โจทก์และให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน259,374.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530 ของศาลชั้นต้น สัญญาตามฟ้องแยกที่ดินเป็น 3 ส่วนส่วนที่หนึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ซึ่งเมื่อจำเลยชำระราคาครบถ้วนและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยแล้วก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและแยกจากที่ดินส่วนอื่นได้ สำหรับส่วนที่สองและส่วนที่สามเป็นที่ดินมี น.ส.3 และที่ดินที่ยังไม่มีหลักฐานหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินซึ่งโจทก์จะต้องออกเป็นโฉนดที่ดินก่อน จึงจะเรียกให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือหรือชำระราคาที่ดินแล้วแต่กรณีได้ มิฉะนั้นก็ไม่จำต้องมีกำหนดเวลาให้ชำระราคาสัญญาเกี่ยวกับที่ดินในสองส่วนหลังเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อโจทก์ออกเป็นโฉนดที่ดินได้เพียงแปลงเดียวคือ โฉนดเลขที่ 20268 ส่วนแปลงอื่นยังไม่ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินจึงเรียกให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือหรือชำระราคาที่ดินแล้วแต่กรณีไม่ได้ จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 คืนและเรียกค่าเสียหาย ก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวโดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์จะถือเอาหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2528 มาเป็นข้ออ้างว่าได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้แล้วไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดแล้ว อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือไม่ เห็นว่า คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ส่วนคดีเดิมคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530 ของศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว เพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ดังนี้ ที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการฟ้องซ้ำนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share