คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6407/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ก่อสร้างขยายผิวจราจรพร้อมท่อระบายน้ำ คันหินและทางเท้า โดยระบุให้เริ่มลงมือทำงาน ณ สถานที่และวันที่กำหนดไว้ แสดงว่าตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวจำเลยต้องเตรียมพื้นที่สำหรับก่อสร้างพร้อมที่จะส่งมอบแก่โจทก์เพื่อลงมือก่อสร้าง แม้ว่าในสัญญาจะมิได้ระบุเรื่องการส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างไว้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยหรือจำเลยมีสิทธิครอบครองดูแลหรือใช้ประโยชน์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างให้โจทก์ก่อน มิฉะนั้นโจทก์ไม่อาจลงมือก่อสร้างได้ การที่โจทก์ทราบถึงอุปสรรคในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า ท่อประปา และมีอาคารของผู้อื่นบางส่วนกีดขวางอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่จำเลยต้องดำเนินการแก้ไขเพราะหากโจทก์ลงมือทำงานในส่วนที่ไม่มีอุปสรรคไปก่อนก็อาจไม่ตรงตามงวดงานในสัญญาจ้าง และหากมีผลกระทบถึงที่ดินหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โจทก์ก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาฐานบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ได้ เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่ส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างให้โจทก์จนกระทั่งล่วงพ้นกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารให้แก่โจทก์นับแต่วันที่สัญญาจ้างเลิกกัน เมื่อจำเลยไม่คืนก็ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่โจทก์ต้องชำระให้แก่ธนาคาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2533 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างขยายผิวจราจรพร้อมท่อระบายน้ำ คันหินและทางเท้าบริเวณถนนพัทยาสาย 2 ตามแบบแปลนของเมืองพัทยาเลขที่ 49/2531 ลงวันที่ 5 มกราคม 2532 กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 350 วัน นับแต่วันทำสัญญา กำหนดค่าจ้างเป็นเงิน 13,500,000 บาท โจทก์ได้มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีราชา เลขที่ ค.41/2533ลงวันที่ 17 กันยายน 2533 วงเงิน 675,000 บาท แก่จำเลยเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา และโจทก์ได้เตรียมเครื่องจักรเข้าเพื่อทำการก่อสร้างพร้อมกับซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นเงิน 1,500,000 บาท แต่เมื่อโจทก์เข้าตรวจสอบพบว่าพื้นที่ที่จะก่อสร้างตามสัญญาเกือบทั้งหมดรุกล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินของเอกชนหลายราย ซึ่งต่างไม่ยินยอมให้โจทก์ก่อสร้างทางเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ทั้งยังมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางแนวเขตก่อสร้าง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบหลายครั้งเพื่อประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้รื้อถอนแต่จำเลยไม่สามารถแก้ไขอุปสรรคดังกล่าวและไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ที่จะก่อสร้างตามสัญญาให้โจทก์เข้าดำเนินการก่อสร้างได้จนกระทั่งครบกำหนดอายุสัญญาจึงถือว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่โจทก์ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 13,626,356 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 8,300,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีราชา เลขที่ ค.41/2533 และ ค.42/2533 ลงวันที่ 17 กันยายน2533 คืนให้โจทก์โดยให้จำเลยรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บในอัตราฉบับละ12,500 บาทต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบหนังสือค้ำประกันทั้งสองฉบับดังกล่าวคืนให้โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้างแล้ว ขณะที่ยื่นหนังสือเสนอราคา และตามบันทึกของโจทก์ลงวันที่ 10 กันยายน 2533 ถือได้ว่าโจทก์ยอมเข้าเสี่ยงภัยเองและมิใช่ความผิดของจำเลย โจทก์ได้แจ้งว่าจะเข้าดำเนินการก่อสร้างภายในวันที่ 17 ธันวาคม 2533 ช้ากว่ากำหนด 89 วัน แต่ก็มิได้ทำการก่อสร้างกลับอ้างว่ามีปัญหาและอุปสรรคในการก่อสร้าง ขอให้ร่วมกันตรวจสอบและแก้ไข จำเลยขอให้โจทก์ทำการก่อสร้างในส่วนที่ไม่มีปัญหาและอุปสรรคไปก่อนเพราะส่วนที่มีปัญหาและอุปสรรคมีเพียงส่วนน้อยและแก้ไขได้ แต่โจทก์เพิกเฉยและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยจำเลยได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดสามประสิทธิ์เข้าดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งสามารถก่อสร้างได้เสร็จในระยะเวลา 240 วัน สั้นกว่าระยะเวลาที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ในวงเงิน 13,000,000 บาท น้อยกว่าราคาค่าก่อสร้างที่โจทก์เสนอ โดยได้ร่วมกับจำเลยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคได้ทั้งหมด โจทก์ไม่มีความจริงใจที่จะปฏิบัติตามสัญญา เป็นฝ่ายบิดพลิ้วและไม่พร้อมที่จะเข้าทำการก่อสร้างได้ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาโจทก์ไม่สามารถก่อสร้างได้เสร็จในกำหนดเวลาของแต่ละงวด และไม่ได้ก่อสร้างตามแบบแปลนเป็นการผิดสัญญา จำเลยได้บอกเลิกสัญญาและมีสิทธิระงับไม่จ่ายเงินเพื่อจะได้หักกับเงินค่าปรับที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยวันละ 13,500 บาท และด้วยเหตุที่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาศรีราชา ทั้งสองฉบับที่โจทก์นำมาวางเป็นหลักประกันไว้ได้จนกว่าโจทก์จะพ้นความรับผิดชอบตามเงื่อนไขในสัญญารับจ้างก่อสร้าง โดยจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบในค่าธรรมเนียมของธนาคารและโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อนและค่าการงานเกิน 2 ปี แล้ว จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 7,562,320 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 11 พฤศจิกายน 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยส่งมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีราชา เลขที่ ค.41/2533 และ ค.42/2533 ลงวันที่ 17 กันยายน 2533 คืนโจทก์ และให้จำเลยชำระเงินอัตราฉบับละ 12,500 บาทต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบหนังสือค้ำประกันดังกล่าวคืนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 7,462,320 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2533 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างขยายผิวจราจรพร้อมท่อระบายน้ำ คันหิน และทางเท้าถนนพัทยาสาย 2 ตามแบบแปลนของจำเลยเลขที่ 49/2531 ลงวันที่ 5 มกราคม 2532 กำหนดแล้วเสร็จภายใน 350 วัน นับแต่วันทำสัญญา ตกลงราคาค่าจ้างเป็นเงิน 13,500,000 บาท โดยโจทก์ได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีราชา เลขที่ ค.41/2533 ลงวันที่ 17 กันยายน 2533วงเงิน 675,000 บาท มอบไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา และโจทก์จะเริ่มลงมือก่อสร้างภายในวันที่ 25 กันยายน 2533 รายละเอียดปรากฏตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 หลังจากทำสัญญาจ้างแล้ว โจทก์มิได้ลงมือก่อสร้างตามกำหนดเนื่องจากมีสิ่งกีดขวางการก่อสร้างในพื้นที่ที่จะก่อสร้างคือเสาไฟฟ้า 62 ต้น พร้อมหม้อแปลงไฟฟ้าและสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ กันสาดของอาคารพาณิชย์ เครื่องหมายสัญญาณจราจร และท่อประปาใต้ดิน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว เมื่อยังแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวไม่ได้จนพ้นกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาแล้ว โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยในวันที่ 18 ธันวาคม 2534 นอกจากนี้เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2533 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างท่อระบายน้ำซอยเย็นสบายตามแบบแปลนของจำเลยเลขที่ 53/2531 ลงวันที่15 พฤศจิกายน 2531 กำหนดแล้วเสร็จภายใน 350 วัน นับแต่วันทำสัญญาตกลงราคาค่าจ้างเป็นเงิน 13,500,000 บาท โดยโจทก์ได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาศรีราชา เลขที่ ค.42/2533 ลงวันที่ 17 กันยายน 2533 วงเงิน 675,000 บาทมอบไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญารายละเอียดปรากฏตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 โจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานงวดที่ 1 และที่ 3 ให้จำเลยและได้รับเงินค่าจ้างจากจำเลยแล้ว แต่งานงวดที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 โจทก์ก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนด จำเลยอนุมัติให้ขยายเวลาออกไป 27 วัน โจทก์ส่งมอบงานงวดที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 แก่จำเลยแล้ว แต่ล่าช้ากว่ากำหนดเวลาที่จำเลยขยายให้ โดยโจทก์มีหนังสือขอส่งมอบงานงวดที่ 2 และที่ 4 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2534 และส่งมอบงานงวดที่ 5 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2534 ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2534 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์อ้างเหตุว่าโจทก์ผิดสัญญาเนื่องจากทำงานไม่แล้วเสร็จตามที่กำหนดในสัญญาและการก่อสร้างไม่ถูกต้อง จำเลยยังมิได้คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารทั้งสองฉบับดังกล่าวให้แก่โจทก์ และยังมิได้ชำระค่าจ้างงวดที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ของสัญญาจ้างก่อสร้างท่อระบายน้ำซอยเย็นสบายเป็นเงิน 8,300,000 บาทให้แก่โจทก์

พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างก่อสร้างขยายผิวจราจร ฯลฯ ถนนพัทยาสาย 2 ตามเอกสารหมาย จ.2 เพราะโจทก์ทราบปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่อยู่แล้ว และสามารถลงมือก่อสร้างในบริเวณที่ไม่มีปัญหาและอุปสรรคได้นั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 5 ระบุว่าโจทก์จะต้องเริ่มลงมือทำงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดภายในวันที่ 25 กันยายน 2533 แสดงว่าตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2533 จำเลยต้องเตรียมพื้นที่สำหรับก่อสร้างพร้อมที่จะส่งมอบแก่โจทก์เพื่อลงมือก่อสร้างแล้ว แม้ในสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 จะมิได้ระบุถึงเรื่องการส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างไว้ก็ตามแต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าพื้นที่สำหรับก่อสร้างเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยหรือจำเลยมีสิทธิที่จะครอบครองดูแลหรือใช้ประโยชน์ จำเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างให้โจทก์ก่อน มิฉะนั้นโจทก์ย่อมไม่อาจลงมือก่อสร้างได้ การที่โจทก์ทราบถึงอุปสรรคในพื้นที่อยู่แล้วเรื่องเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้าท่อประปา ตลอดจนการที่มีอาคารของผู้อื่นบางส่วนกีดขวางอยู่นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินการแก้ไข หากให้โจทก์ลงมือทำงานในส่วนที่ไม่มีอุปสรรคไปก่อนก็อาจไม่ตรงตามงวดของงานตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 4 และหากมีผลกระทบถึงที่ดินหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โจทก์ก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ได้ เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่ส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างให้โจทก์จนกระทั่งล่วงพ้นกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และโจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share