คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุว่า ให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และจดทะเบียนโอนสิทธิเฉพาะส่วนของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา คืนแก่โจทก์เพราะเหตุที่จำเลยทำการโอนที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยไม่มีอำนาจกับขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินจำนวน 1 ไร่ กลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม เพราะเหตุที่จำเลยประพฤติเนรคุณ แสดงว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับจำเลยให้คืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน81 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งแปลง เพียงแต่เหตุแห่งการเพิกถอนต่างกันเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโอนที่ดินทั้งแปลงคืนแก่โจทก์ จึงไม่เกินคำขอ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาให้เพิกถอนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 แต่โจทก์มิได้ยกที่ดินให้จำเลยทั้งแปลงดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีจึงยังมีประเด็นว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเนื้อที่เท่าใดซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย อันเป็นการมิได้ตัดสินตามข้อหาทุกข้อตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปให้พิพากษาใหม่ตามมาตรา 243(1)อำนาจนี้เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ศาลอุทธรณ์ก็สามารถวินิจฉัยคดีไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 123 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวาเมื่อปี 2534 โจทก์ยกที่ดินทางทิศใต้ เนื้อที่ 1 ไร่ ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาปี 2538 โจทก์ลงชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความให้จำเลยไปแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยกระทำการโดยไม่สุจริตด้วยการกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยโอนที่ดินทั้งแปลงเป็นของจำเลย วันที่ 5 เมษายน 2539โจทก์ว่าจ้างคนงานให้ตัดต้นเงาะในที่ดินของโจทก์ จำเลยโต้แย้งและด่าโจทก์ว่า “ไอ้แก่ ไอ้หัวหงอก กูจะไล่มึงเมื่อใดก็ได้ ที่ขอกูไม่ให้มึงอยู่ หมาเย็ดแม่” พร้อมกับขู่ว่าจะฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดิน เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและเนรคุณต่อโจทก์ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 123 ตำบลลำพูน อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจดทะเบียนโอนสิทธิเฉพาะส่วนของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน81 ตารางวา คืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับเพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินจำนวน 1 ไร่ กลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม

จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยและนางปราณี บุญช่วย คนละครึ่ง โดยจำเลยได้ทางทิศใต้ของที่ดินและครอบครองมา 11 ปีเศษ ส่วนการโอนที่ดินจำเลยได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิมพ์ข้อความในหนังสือมอบอำนาจตามเจตนารมณ์ของโจทก์ซึ่งให้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยทั้งแปลงไว้ก่อนเพื่อรอแบ่งแยกโอนให้แก่นางปราณีในภายหลัง แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการโจทก์ถูกบุตรโจทก์คนอื่นยุแหย่ให้โจทก์เข้าใจผิดวันที่ 5 เมษายน 2539 มีคนเข้าไปโค่นต้นเงาะ จำเลยไม่ทราบว่าเป็นใครจึงเข้าไปทักท้วงต่อว่าบุคคลดังกล่าวจำเลยไม่ได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 123 ตำบลลำพูน อำเภอบ้านนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี และโอนคืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 123 ตำบลลำพูน อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 123 ดังกล่าวเนื้อที่ 1 ไร่กลับคืนเป็นของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยโดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายคดีจึงขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาเกินคำขอหรือไม่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีว่า ให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 123 ตำบลลำพูน อำเภอบ้านนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจดทะเบียนโอนสิทธิเฉพาะส่วนของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยกับขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินจำนวน 1 ไร่กลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 123เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวาแก่โจทก์ทั้งแปลง เพียงแต่เหตุแห่งการเพิกถอนต่างกันเท่านั้น ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 123และโอนที่ดินทั้งแปลงคืนแก่โจทก์ จึงไม่เกินคำขอแต่ประการใดที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาเกินคำขอ เนื่องจากศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงเพียงว่า จำเลยประพฤติเนรคุณเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเนื้อที่เท่าใดศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการโอนทั้งแปลงโดยไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินที่เหลือจากการให้เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวาเป็นการโอนโดยไม่ชอบ และโจทก์ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ด้วยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้เพิกถอนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 แต่คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์มิได้ยกที่ดินให้จำเลยทั้งแปลง คดีจึงยังมีประเด็นว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเนื้อที่เท่าใดซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยแต่ได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินทั้งแปลงตามคำขอของโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงมิได้ตัดสินตามข้อทุกข้อตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีอำนาจที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นให้พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) อำนาจที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่นี้เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 8หากศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่า ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีด้วยความเที่ยงธรรมได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้เสียเวลา ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ก็สามารถวินิจฉัยคดีไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวตามพยานหลักฐานในสำนวนแล้วพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share