คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3705/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตาม ป.พ.พ. มาตรา 214 เมื่อ จ. ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ จ. ชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของ จ. ได้แม้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ตามมาตรา 1754 วรรคสาม และมาตรา 192/27 แต่คงบังคับได้เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น ไม่อาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นในกองมรดกได้ด้วย แม้สัญญาจำนองจะมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ เพราะเมื่อหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว ทรัพย์สินอื่นในกองมรดกย่อมไม่ตกอยู่ในความรับผิดทางแพ่งอีกต่อไป
ตามสัญญากู้เงินกำหนดให้ผู้กู้ต้องจัดการเอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยผู้ให้กู้เป็นผู้รับประโยชน์ และในกรณีผู้กู้มิได้จัดทำประกันภัยแต่ผู้ให้กู้เป็นผู้จัดทำประกันภัยแทนผู้กู้ ผู้กู้ยินยอมชำระเงินค่าธรรมเนียมและเบี้ยประกันภัยคืนแก่ผู้ให้กู้ก่อนการชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น จะต้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้ให้กู้ได้ชำระแทนไปแล้ว แต่กรณีที่โจทก์ขอมาตามฟ้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยภายหลังจากวันฟ้อง จึงเป็นหนี้ซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระอันเป็นหนี้ในอนาคตและจะถือว่า จ. ละเลยไม่ชำระหนี้ของตนยังไม่ได้ กรณีจึงยังไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์กับ จ. ตามกฎหมายที่จะต้องให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ จ. รับผิดชำระหนี้ดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 นางจันทมาสทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์จำนวน 490,000 บาท เพื่อไถ่ถอนห้องชุดตกลงยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งโจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้น โดยโจทก์ไม่จำต้องแจ้งให้นางจันทมาสทราบล่วงหน้า ทั้งนี้นางจันทมาสจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 7,550 บาท ภายในทุกวันที่ทำสัญญากู้เงิน เริ่มชำระตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ทำสัญญากู้เงินเป็นต้นไป โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี หากนางจันทมาสผิดนัดไม่ชำระเงินงวดหนึ่งงวดใด ยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้โดยไม่จำต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายให้โจทก์เรียกเก็บได้และไม่ตัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดคืนได้ทันที และหากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระครบหนึ่งปีทบรวมเข้ากับต้นเงินได้ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์นางจันทมาสได้นำห้องชุดเลขที่ 181/151 จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 490,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ นางจันทมาสยอมรับผิดชำระเงินส่วนที่ขาดจนครบถ้วน นอกจากนี้นางจันทมาสยังสัญญาจะทำประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และนางจันทมาสเป็นผู้ออกเงินค่าเบี้ยประกันภัยตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากนางจันทมาสไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยและโจทก์ได้ชำระแทน นางจันทมาสยอมชำระเงินคืนให้โจทก์หรือยอมให้โจทก์ทบเงินค่าเบี้ยประกันภัยรวมเข้ากับต้นเงินกู้และยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับสัญญกู้ตลอดไปจนกว่าจะชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้น นับแต่นางจันทมาสได้กู้เงินไปจากโจทก์ได้ประพฤติผิดสัญญาต่อโจทก์ค้างชำระหนี้ติดต่อกันหลายงวดโดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 จำนวน 23,000 บาท และโจทก์ยังได้ชำระค่าเบี้ยประกันภัยแทนนางจันทมาสไปหลายครั้งเป็นเงินจำนวน 5,541.17 บาท ในระหว่างการกู้ยืมเงินโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยรวมหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 จากอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ต่อมานางจันทมาสได้ถึงแก่ความตายบรรดาทรัพย์สินตลอดจนสิทธิและหน้าที่ในทรัพย์สินจึงตกแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม ก่อนฟ้องคดีโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจันทมาสชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแต่จำเลยเพิกเฉย นับถึงฟ้องมีหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นต้นเงิน 455,591.43 บาท ดอกเบี้ย 772,311.68 บาท ค่าเบี้ยประกันภัย 5,541,17 บาท รวมเป็นเงิน 1,233,444.28 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,233,444.28 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 455,591.43 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยจำนวน 700.89 บาท ทุกวันที่ 1 เมษายน ของทุกสามปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากได้เงินมาไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางจันทมาสออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของนางจันทมาส นางจันทมาสได้ทำสัญญากู้เงินและนำห้องชุดจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์ และยังคงค้างชำระต้นเงินจำนวน 455,591.43 บาท จำเลยให้ฐานะทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนสิทธิฟ้องคดีของโจทก์ในหนี้ประธานขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองและมีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยค้างชำระย้อนหลังขึ้นไปไม่เกิน 5 ปี
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 455,591.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2544 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2548 อัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัย 5,541.17 บาท แก่โจทก์ ทั้งนี้ให้จำเลยรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนางจันทมาสที่ตกทอดแก่ตน หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดห้องชุดเลขที่ 181/151 ชั้นที่ 8 อาคารเลขที่ 1 ชื่ออาคารชุดพรานนกคอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1554 ตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามทางนำสืบของโจทก์และคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจันทมาสให้รับผิดในมูลหนี้เงินกู้และบังคับจำนอง โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่นางจันทมาสถึงแก่ความตายเกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ในมูลหนี้เงินกู้จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสี่ แต่โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของนางจันทมาส หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 เมื่อปรากฏว่านางจันทมาสลูกหนี้ถึงแก่ความตาย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจันทมาสชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกของนางจันทมาสได้ แม้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม และมาตรา 193/27 แต่คงบังคับได้เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น หาอาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางจันทมาสได้ด้วยไม่ แม้สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 จะมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ก็ตาม เพราะเมื่อหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว ทรัพย์สินอื่นในกองมรดกของนางจันทมาสย่อมไม่ตกอยู่ในความรับผิดทางแพ่งอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจันทมาสจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยภายหลังวันฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.9 ข้อ 5 กำหนดให้ผู้กู้ต้องจัดการเอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยผู้ให้กู้เป็นผู้รับประโยชน์ และในกรณีผู้กู้มิได้จัดทำประกันภัย แต่ผู้ให้กู้เป็นผู้จัดทำประกันภัยแทนผู้กู้ ผู้กู้ยินยอมชำระเงินค่าธรรมเนียมและเบี้ยประกันภัยคืนแก่ผู้ให้กู้ก่อนการชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น กรณีดังกล่าวจะต้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้ให้กู้ได้ชำระแทนไปแล้ว แต่กรณีที่โจทก์ขอมาตามฟ้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยภายหลังจากวันฟ้องกรณีจึงเป็นหนี้ซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระอันเป็นหนี้ในอนาคตและจะถือว่านางจันทมาสละเลยไม่ชำระหนี้ของตนยังไม่ได้ กรณีจึงยังไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์กับนางจันทมาสตามกฎหมายที่จะต้องให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจันทมาสรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้มานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share