แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่มารดาไปทำสัญญาประนีประนอมแบ่งมรดกแทนบุตรผู้เยาว์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลนั้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 จึงต้องแบ่งส่วนมรดกกันตามกฎหมาย
ชั้นยื่นคำให้การหากจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้ให้ศาลวินิจฉัยถึงการคิดส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของบิดากับมารดาจำเลยซึ่งตายไปแล้ว ดังนี้ ศาลไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
ได้ความตามที่รับกันว่า จำเลยทั้ง 3 เป็นบุตร ง. ซึ่งเกิดกับนางเง๊กกี่ซึ่งตายไป 28 ปีแล้ว โจทก์เป็นน้องจำเลยร่วมบิดาแต่เกิดกับนางยู่อี่ ภริยาคนหลัง ง. ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ได้มีการทำสัญญาปรานีประนอมแบ่งมรดกผู้ตายเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 1299 แบ่งเป็น 7 ส่วน โจทก์ได้ 1 ส่วน จำเลยคนละ 2 ส่วน ที่ดินได้ขายไปเป็นเงิน 350,000 บาท โจทก์เห็นว่าสัญญาแบ่งมรดกไม่ชอบ จึงฟ้องขอให้แบ่งให้โจทก์ 1 ใน 4 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ยอม จำเลยที่ 3 ยอมตามฟ้อง
ศาลแพ่งวินิจฉัยเป็น 4 ข้อ ดังนี้
1. ตามสัญญาปรานีประนอมว่า ผลอันเกิดจากที่ดินให้แบ่งเป็น 4 ส่วน โจทก์จำเลยได้คนละ 1 ส่วนเท่า ๆ กัน แสดงว่าจำเลยยอมรับสิทธิของโจทก์และถือว่าโจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกอยู่ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745 และ 1748 แม้ฟ้องเกิน 1 ปีก็ไม่ขาดอายุความตามมาตรา 1754
2. สัญญาแบ่งมรดก นางยู่อี่ทำในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลตามมาตรา 1546 จึงเป็นโมฆียะตามมาตรา 116 ส่วนที่เกี่ยวแก่โจทก์จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 138
3. ตามสัญญาแบ่งมรดก นางยู่อี่ได้รับสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนตัวหาใช่รับแทนโจทก์ไม่
4. จำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้ถึงการคิดส่วนแบ่งที่ดินรายนี้ระหว่าง ง. กับนางเง๊กกี่ตามมาตรา 1625 โจทก์จำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมได้รับมรดกเท่ากันตามมาตรา 1633
พิพากษาให้จำเลยที่ 1-2 แบ่งมรดกในที่ดินโฉนดดังกล่าวให้โจทก์ 1 ใน 4 เป็นเงิน 61,562 บาท 50 สตางค์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างทั้ง 2 เพราะสัญญาประนีประนอมแบ่งปันมรดกนั้นมารดาจะทำแทนบุตรโดยลำพังมิได้ ต้องห้ามตามมาตรา 1546 จึงต้องแบ่งส่วนกันตามกฎหมาย และการที่จำเลยจะขอสืบพยานว่าโจทก์ได้รับมรดกอย่างอื่นไปมากแล้ว และที่ดินเป็นมรดกของมารดาจำเลย โจทก์จึงยอมรับส่วนในที่ดินน้อยนั้น ข้อนี้จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ที่ศาลแพ่งงดฟังคำพยานชอบแล้ว
พิพากษายืน