คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2486

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สักขีพยานตามมาตรา 154 ( 1 ) ไม่จำต้องสูญหายไปทีเดียวเมื่อได้ความว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเอามูลฝิ่นของกลางไปทิ้งนอกบ้าน ก็ย่อมได้ชื่อว่าเปนการทำให้สักขีพยานสูญหายไปแล้ว

ย่อยาว

โจทฟ้องว่าไห้ลงโทสจำเลยตามพ.ร.บ. ฝิ่นกับกดหมายลักสนะอาญามาตรา ๑๕๔.
จำเลยไห้การรับสารภาพ
สาลขั้นต้นสอบถามโจทจำเลยได้ความว่า จำเลยที่ ๒ เปนบุตรจำเลยที่ ๑ ได้ เอามูลฝิ่น ๒ ห่อไปทิ้งนอกบ้าน เจ้าพนักงานจับมาเปนของกลางได้ทั้งหมด / จึงพิพากสาลงโทสจำเลยที่ ๑ ตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นเห็นว่าจะเปนผิดตามาตรา ๑๕๔ ( ๑ ) ได้ต่อเมื่อสิ่งซึ่งเปนสักขีพยานสูญหายไป แต่ไนคดีนี้มูลฝิ่นซึ่งเปนสักขีพยานหาได้สูญหายไปไม่ เพราะเจ้าพนักงานจับเอามาเปนของกลางได้ จำเลยที่ ๒ ยังไม่มีความผิดไห้ยกฟ้อง
โจทอุธรณ์ฉเพาะตัวจำเลยที่ ๒
สาลอุธรน์พิพากสากลับว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๕๔ ( ๑ ) ไห้จำคุก ๑๕ วัน แต่ไห้รอการลงอาญาไว้ตามมาตรา ๔๑.
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่าตามบทบัญญัติมาตรา ๑๕๔ นั้น ได้จัดไว้ไนหมวดที่ว่าด้วยความผิดที่กะทำไห้เสื่อมเสียความยุตติธัม เปนความผิดถานทำไห้เสี่อมเสียอำนาดสาล ฉนั้นคำว่า “กะทำไห้สูญหาย” จึงมีความหมายถึงการได ๆ อันเปนเหตุไห้ข้อความหรือสิ่งนั้น ๆ พ้นไปจากการที่จะไข้เปนสักขีพยานไนการกะทำผิด มิได้หมายความถึงการที่จะต้องสูญหายไปเลยทีเดียว ฉนั้นการกะทำของจำเลยที่ ๒ จึงเปนความผิด สำเหร็ดตามกดหมายมาตรา ๑๕๔ ( ๑ ) แล้วจึงพิพากสายืนตาม

Share