แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อ ส. ผู้ตายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตารา 288 ประกอบมาตรา 69 โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางช้อย มารดานายสวงษ์หรือเด่น ผู้ตายและนายดวงจิตต์ บิดานายศรีรัตน์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่น โดยให้เรียกนางช้อยว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เรียกนายดวงจิตต์ว่า โจทก์ร่วมที่ 2 และโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำความผิด โดยโจทก์ร่วมที่ 1 ขอให้จำเลยชดใช้ค่าจัดงานศพ และค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 1,269,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป ส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 ขอให้จำเลยชดใช้ค่าจัดงานศพและค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 1,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป
จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69, 288, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุเป็นความผิดกรรมเดียวกับฐานฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกตลอดชีวิต และเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบของกลางตามบัญชีของกลาง และให้จำเลยชำระค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายในการจัดการศพแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 269,250 บาท และชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 288,000 บาท ให้จำเลยชำระค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายในการจัดการศพแก่โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาท และชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 201,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีนางประจวบ ภริยาจำเลยขณะเกิดเหตุเป็นประจักษ์พยาน แต่ไม่ได้ตัวมาเบิกความ และมีพันตำรวจโทถาวร พนักงานสอบสวนเป็นพยาน แม้คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้ตัวนางประจวบซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริง โดยคงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนอันเป็นพยานบอกเล่า แต่พยานบอกเล่าก็ไม่มีกฎหมายห้ามรับฟังเด็ดขาด ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) บัญญัติให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานบอกเล่าได้ เมื่อมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินมาเป็นพยานได้ ดังนั้น เมื่อรับฟังคำให้การของนางประจวบประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองแล้วจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า ก่อนเกิดเหตุนางประจวบและนายสวงษ์ได้โต้เถียงกันเรื่องที่นายสวงษ์กับพวกได้ทดลองขับรถยนต์ที่ซ่อมและห้ามล้อรถเสียงดังแล้วนายสวงษ์ถือหินและไม้เข้าไปจะทำร้ายนางประจวบ นางประจวบได้ตะโกนให้จำเลยช่วยเหลือ จำเลยจึงพูดห้ามปราม แต่นายสวงษ์ไม่ยอมหยุดและจะทำร้ายจำเลยด้วย นายสวงษ์และนายศรีรัตน์จึงถูกยิง แม้นางประจวบไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยยิงนายสวงษ์และนายศรีรัตน์ แต่นางประจวบก็อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ โดยหลังจากนายสวงษ์ถูกยิงจำเลยก็ถืออาวุธปืนวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุทันที และวิ่งไล่ตามพวกของนายสวงษ์เข้าไปในซอยและมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 ถึง 3 นัด ปรากฏว่านายศรีรัตน์ถูกยิงบริเวณอู่ซ่อมรถแล้วจำเลยหลบหนีไป ซึ่งขณะเกิดเหตุฝ่ายจำเลยมีเพียงจำเลยและนางประจวบเท่านั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงบ่งชี้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงนายสวงษ์และนายศรีรัตน์อย่างไรก็ดีการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสวงษ์ก็เพื่อช่วยเหลือป้องกันนางประจวบภริยาจำเลยและจำเลยให้พ้นจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสวงษ์ 2 นัด จนถึงแก่ความตายนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและผู้อื่นเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่านายสวงษ์โดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ หลังจากนั้นจำเลยวิ่งไล่ตามแล้วใช้อาวุธปืนยิงนายศรีรัตน์จนถึงแก่ความตาย แม้จะเป็นการกระทำต่อเนื่องกันอันเป็นกรรมเดียว แต่ขณะจำเลยยิงนายศรีรัตน์นั้น ไม่มีภยันตรายใด ๆ ที่จำเลยจะต้องป้องกันอีก การที่จำเลยยิงนายศรีรัตน์จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน จำเลยจึงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรอีกด้วย ที่จำเลยนำสืบและฎีกาทำนองว่าจำเลยมิได้กระทำความผิด ลายมือชื่อของนางประจวบในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ คำให้การในชั้นสอบสวนและสำเนาภาพถ่าย ไม่ใช่ลายมือของนางประจวบนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับคดีส่วนแพ่งในส่วนของโจทก์ร่วมที่ 1 นั้น เห็นว่า เมื่อนายสวงษ์ผู้ตายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด ดังนี้ ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตารา 288 ประกอบมาตรา 69 โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 กับไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางช้อย เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 จึงไม่ชอบ ส่วนคดีแพ่งในส่วนของโจทก์ร่วมที่ 2 นั้น ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง โจทก์ร่วมที่ 2 มิได้อุทธรณ์ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 2 คดีในส่วนแพ่งจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 2 จึงไม่ชอบเช่นกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางช้อย และคำร้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนของนางช้อย ยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 1 กับให้ยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วมที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์