แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริงแต่ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เงิน เป็นการปฏิเสธว่ามิได้กู้เงินจากโจทก์ แต่จำเลยให้การตอนหลังว่าหากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้วเป็นการรับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงถือว่าจำเลยได้ยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แล้ว โจทก์ไม่ต้องนำสืบตามข้ออ้างนั้นอีก ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เพิ่งมาเติม วัน เดือน ปี จำนวนเงินที่กู้และกำหนดเวลาชำระเงินคืนในภายหลังนั้น จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าสัญญากู้ดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ถูกต้องอย่างใด เมื่อสัญญากู้ระบุวันเดือน ปี จำนวนเงินที่กู้และกำหนดเวลาชำระเงินครบถ้วนแล้วก็ย่อมรับฟังได้ตามสัญญากู้ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริง แต่เป็นการค้ำประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ โดยให้จำเลยเก็บดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายวันจากผู้กู้ส่งให้โจทก์ จำเลยไม่เคยได้รับเงินตามสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินมิได้กำหนดดอกเบี้ยและมิได้กำหนดเวลาชำระเงิน แต่โจทก์มาเพิ่มเติมในภายหลัง และโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินที่กู้ หากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริง จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์แล้ว
ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถานงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องแก่โจทก์นั้น ชอบหรือไม่จำเลยฎีกาประการแรกว่า จำเลยให้การว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1จำเลยและโจทก์ทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันการที่จำเลยนำเงินของโจทก์ไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เงินคำให้การของจำเลยดังกล่าวปฏิเสธว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจริง นั้น เห็นว่า จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริง แต่ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนนำเงินไปให้ผู้อื่นกู้ จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เงิน เป็นการปฏิเสธว่ามิได้กู้เงินจากโจทก์ แต่คำให้การของจำเลยตอนหลัง จำเลยให้การว่า หากฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริงจำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้ว เป็นการรับว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จริงดังนี้คำให้การของจำเลยจึงขัดแย้งกัน จำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง จึงถือว่าจำเลยได้ยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์แล้วโจทก์ไม่ต้องนำสืบตามข้ออ้างนั้นอีก
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความสมบูรณ์ชัดแจ้งทั้งชื่อคู่สัญญา จำนวนเงินกำหนดเวลาชำระเงิน ตลอดจนลายมือชื่อคู่สัญญา สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 แต่ในข้อนี้ จำเลยให้การว่าโจทก์เพิ่งมาเติม วัน เดือน ปีจำนวนเงินที่กู้ และกำหนดเวลาชำระเงินในภายหลัง เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่มีมูลหนี้กับโจทก์ตามสัญญากู้ยืม การจะรับฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยไม่มีการสืบพยานจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อคำให้การจำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้ทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ จึงถือว่าจำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบตามข้ออ้างดังวินิจฉัยแล้วข้างต้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เพิ่งมาเติม วัน เดือน ปี จำนวนเงินที่กู้ และกำหนดเวลาชำระเงินคืนในภายหลังนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าสัญญากู้ดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ถูกต้องอย่างใดเมื่อสัญญากู้ระบุวันเดือน ปี จำนวนเงินที่กู้ และกำหนดเวลาชำระเงินครบถ้วนแล้วก็ย่อมรับฟังได้ตามสัญญากู้ดังกล่าว
พิพากษายืน