คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดยได้รับมอบเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งนำมาชำระหนี้ ต่อมาธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาก็คือจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่ผู้ถือเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ทรง จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ทั้งโจทก์ได้มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยไว้แล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้บรรยายไว้ว่าจำเลยที่ 2จะต้องรับผิดในฐานะใด โจทก์ได้รับเช็คพิพาทจากใคร ชำระหนี้ค่าอะไร นั้นมิใช่สภาพแห่งข้อหาคงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายไว้ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะระบุไว้เพียงว่า ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 53,750 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์โดยมิได้ระบุว่าให้จำเลยทั้งสองรับผิดดังกล่าวก็ตาม แต่คำฟ้องของโจทก์ได้ระบุว่าขอยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองไว้โดยชัดแจ้งทั้งบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จึงเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชำระเงินตามเช็คและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามคำบรรยายในตอนต้นนั้นเอง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้องจึงไม่เกินคำขอ

Share